• คณะกรรมการ "ออสการ์" ประกาศเงื่อนไขใหม่สำหรับพิจารณาผลงานชิงรางวัล "ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม" ว่าจะต้องมีครบคุณสมบัติตามเกณฑ์อย่างน้อย 2 ใน 4 ข้อ 
  • การประกาศเงื่อนไขใหม่มีขึ้นตามข้อริเริ่มของสถาบันศิลปะและวิชาการทางภาพยนตร์ ปี 2568 และจะมีผลต่อการพิจารณารางวัลออสการ์ ครั้งที่ 96 ในปี 2567  
  • เสียงสะท้อนของคนในแวดวงศิลปะภาพยนตร์แตกต่างกันไป บางส่วนเห็นด้วย ขณะที่บางส่วนมองว่าเป็นการจำกัดเสรีภาพในการสร้างสรรค์ผลงานภาพยนตร์ ในอนาคตภาพยนตร์อาจมีตัวละครที่ "จำเป็นต้องมี" แต่ไม่ "จำเป็นกับเนื้อเรื่อง"

นับตั้งแต่เริ่มมีแคมเปญ #OscarsSoWhite เมื่อ 4 ปีก่อน หลังจากสถาบันศิลปะและวิชาการทางภาพยนตร์ ที่รู้จักกันดีในนามผู้มอบรางวัล "ออสการ์" ถูกตำหนิว่าผู้รับรางวัลนั้นขาดซึ่งความหลากหลายทางเชื้อชาติและกลุ่มคน ทางคณะกรรมการพิจารณารางวัลออสการ์ หนึ่งในรางวัลอันทรงเกียรติของวงการภาพยนตร์ ได้พยายามหาทางให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ลบภาพลักษณ์วงการที่มีแต่คนผิวขาวและผู้ชายเป็นใหญ่ออกไป รวมไปถึงพยายามคละๆ ภาพยนตร์ที่เข้าชิงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมให้มีความหลากหลาย

...

ยิ่งมีบทเรียนจากการเสียชีวิตของ นายจอร์จ ฟลอยด์ และกระแสการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านการเหยียดสีผิว #BlackLivesMatter ก่อนหน้านี้ก็ยิ่งทำให้เกิดการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ระดับโลกอีกครั้ง โดยเมื่อประมาณเดือนมิถุนายน  ออสการ์ได้แต่งตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษขึ้นมาทำหน้าที่พิจารณารายละเอียดเรื่อง "ความหลากหลาย" โดยเฉพาะ ช่วยกันการหาแนวทางร่วมกันระหว่างคณะกรรมการพิจารณารางวัล และผู้สร้างภาพยนตร์ เพื่อให้เกิดข้อตกลงเกี่ยวกับคุณสมบัติใหม่ในการเข้าชิงรางวัลออสการ์ และกระทั่งเมื่อวันที่ 8 ก.ย. ที่ผ่านมา ออสการ์ได้มีการประกาศบทสรุปเงื่อนไขใหม่สำหรับผลงานที่จะมีสิทธิ์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในอนาคต โดยเฉพาะรางวัลภาพยนต์ยอดเยี่ยมจะต้องมีความหลากหลายของบุคลากรทีมงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง

สเต็ปแรกในปี 2565 ภาพยนต์ที่จะเข้าชิง "ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม" จะต้องเริ่มนำข้อกำหนดของออสการ์มาใช้ และสเต็ปต่อไปในปี 2567 จะต้องมีครบ 2 ใน 4 ข้อ สำหรับดารานักแสดงที่อยู่เบื้องหน้า จะต้องมีนักแสดงหลัก หรือนักแสดงบทรองที่มีความสำคัญ อย่างน้อย 1 คน มาจากกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ เชื้อชาติ ในทีนี้ได้หมด ไม่ว่าจะเป็นคนเอเชีย ฮิสแพนิก คนผิวดำ ชนเผ่าต่างๆ ชาวอเมริกันพื้นเมือง ชาวตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ ชาวฮาวาย หรือมาจากเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก 

หากไม่สะดวกแบบแรก ก็มากันที่ทางเลือกอีกอย่าง ว่าจะให้มีนักแสดงบทรองลงไป หรือนักแสดงประกอบ อย่างน้อย 30% มาจากคนกลุ่มใดก็ได้ 2 กลุ่มในนี้ ได้แก่ สตรี LGBTQ ชนกลุ่มน้อย คนด้อยโอกาส หรือพิการทุพพลภาพ หรือไม่เช่นนั้นเส้นเรื่องหลัก การดำเนินเรื่อง หรือธีมของเรื่อง จะต้องโฟกัสที่เรื่องราวของกลุ่มคนด้อยโอกาสในการแสดงออกทางสังคมไปเลย

เดวิด รูบิน ประธานออสการ์บอกว่า "รูรับแสงกล้องถ่ายหนังต้องเปิดกว้างขึ้นเพื่อสะท้อนถึงความหลากหลายของประชากรโลก ทั้งในส่วนของผู้สร้างสรรค์ผลงานภาพยนตร์และผู้ชมที่มีความเชื่อมโยงกับภาพยนตร์" ด้านดอว์น ฮัดสัน ผู้บริหารออสการ์บอกว่า "มาตรฐานใหม่ที่จะนำมาใช้ จะเป็นตัวเร่งให้เกิดความเปลี่ยนแปลงสำคัญอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์"

หลังจากประกาศมาตรฐานใหม่ออกมา ก็มีเสียงสะท้อนที่แตกต่างกันไปหลายแนวทาง ส่วนใหญ่ขานรับความพยายามของออสการ์ และคาดหวังว่าจะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในอนาคต ขณะที่บางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มขวาจัดมองว่า ออสการ์กำลังทำให้เกิดชุดข้อมูลแบบเดียวกันในการทำหนัง แม้จะเป็นความพยายามจะส่งเสริมความหลากหลาย แต่ห่างไกลจากเสรีภาพในการแสดงออกทางศิลปะ

...

จัสติน เบทส์แมน นักแสดงและผู้กำกับ โพสต์ในทวิตเตอร์ส่วนตัวว่า ถ้าเป็นเขา เขาอยากถูกจ้างเพราะฝีมือการทำงานและความเหมาะสมกับบท ไม่ได้อยากถูกจ้างเพียงเพราะเหตุผลนี้ ด้านเคิร์สตี้ แอลลีย์ นักแสดงหญิงชาวอเมริกันบอกว่า แน่นอนว่าสนับสนุนความหลากหลายในวงการฮอลลีวูด แต่ไม่เห็นด้วยกับเงื่อนไขใหม่ของออสการ์ 

มีการแสดงความกังวลว่าผู้กำกับหนังจะไม่มีโอกาสบอกเล่าเรื่องราวอย่างที่ต้องการ ต้องปรับเปลี่ยนเรื่องราว ตัวละครให้หลากหลาย แต่คนที่เห็นด้วยกับออสการ์บอกว่า ผู้กำกับทุกคนจะยังได้ทำหนังในแบบที่อยากทำ ออสการ์ไม่ได้เข้าไปเซนเซอร์หรือควบคุมอะไร ถ้าหนังไม่ได้ชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ก็ยังมีโอกาสเข้าชิงอีกถึง 22 รางวัล จากทั้งหมด 23 รางวัลในแต่ละปี โดยยกตัวอย่างการปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยในหนังเรื่อง "เดอะ ทู โป๊บส์" (The Two Popes) ที่เล่าเรื่องราวของชายผิวขาวสองคน เขียนบทโดยชายผิวขาว แต่ยังมีโปรดิวเซอร์กับหัวหน้าฝ่ายแต่งหน้าทำผมที่เป็นผู้หญิง 

อย่างกรณี "ดิ ไอริชแมน" (The Irishman) แน่นอนว่าเป็นเรื่องราวของแก๊งชายผิวขาว ผู้กำกับก็เป็นผู้ชายผิวขาว แต่ยังมีโปรดิวเซอร์ผู้หญิง ช่างภาพเป็นชาวเม็กซิกัน ทีมโปรโมตของ Netflix ก็ยังเป็นผู้หญิง ซึ่งไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงที่ภาพยนตร์ดีๆ สักเรื่องจะสามารถทำตามเงื่อนไข มาตรฐานใหม่ของออสการ์ได้ 

...

ด้าน The Annenberg Inclusion Initiative องค์กรที่สอดส่องเรื่องชาติพันธุ์และเพศสภาพในภาพยนตร์ฮอลลีวูด เปิดเผยสถิติที่ระบุว่า หนังทำเงินสูงสุด 95 เรื่อง จากจำนวน 100 เรื่อง ในปีที่แล้ว เข้าข่ายมาตรฐานข้อ A ของออสการ์ และ The Washington Post รายงานว่า ภาพยนตร์ที่ได้รางวัลออสการ์ปีที่แล้วจำนวน 11 เรื่อง ใน 15 เรื่อง เข้าข่ายมาตรฐานข้อ A อยู่แล้ว โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไรเลย.  

กฎใหม่ของออสการ์เพื่อส่งเสริมความหลากหลาย

A นักแสดงนำหรือนักแสดงสมทบที่มีบทสำคัญอย่างน้อย 1 คน ต้องอยู่ในกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือเชื้อชาติ 

B อย่างน้อย 30% ของนักแสดงทั้งหมด จะต้องมาจากกลุ่มคนที่ไม่ได้รับโอกาสทางสังคม อย่างน้อย 2 กลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นสตรี เชื้อชาติต่างๆ LGBTQ หรือคนพิการทุพพลภาพทางร่างกาย หรือหูหนวก 

C ธีมหลักของเรื่อง หรือการดำเนินเรื่อง จะต้องมุ่งเน้นไปยังกลุ่มคนที่ไม่ได้รับโอกาสทางสังคม 

D สตูดิโอหรือบริษัทภาพยนตร์ประกอบไปด้วยบุคลากรฝ่ายบริหารระดับอาวุโส มาจากกลุ่มคนที่ไม่ได้รับโอกาสทางสังคม ทั้งฝ่ายการตลาด ประชาสัมพันธ์ และจัดจำหน่ายภาพยนตร์   

ผู้เขียน: เมาคลีล่าข่าว

ที่มา: RT , Times , Mirror , Oscar.org 

...