เกาหลีใต้พบผู้ติดเชื้อ 279 รายในวันอาทิตย์ ทุบสถิติสูงสุดในรอบ 5 เดือน โดยส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อในโบสถ์ที่กรุงโซล
สำนักข่าว โคเรีย เฮอรัลด์ รายงานว่า ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของเกาหลีใต้ (KCDC) เปิดเผยในวันอาทิตย์ที่ 16 ส.ค. 2563 ว่า พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่ทั่วประเทศจำนวน 279 ราย ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา นับเป็นสถิติสูงที่สุดนับตั้งแต่ 8 มี.ค. โดยส่วนใหญ่เชื่อมโยงกับการระบาดที่โบสถ์ในกรุงโซล ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมของเกาหลีใต้เพิ่มเป็น 15,318 รายแล้ว ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตยังอยู่ที่ 305 ศพ
ตามการเปิดเผยของ KCDC ในกลุ่มผู้ติดเชื้อล่าสุด มี 267 รายที่เป็นการติดเชื้อในท้องถิ่น โดย 141 รายถูกพบในกรุงโซล และ 96 ราย ถูกพบในพื้นที่โดยรอบจังหวัดกยองกี ส่วนที่เหลือเป็นผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างประเทศ
ทั้งนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อในเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในวันอาทิตย์ หลังจากพบคลัสเตอร์ หรือการติดเชื้อแบบกลุ่มก้อน ที่โบสถ์หลายแห่งในกรุงโซลเมื่อสัปดาห์ก่อน ทำให้รัฐบาลต้องยกระดับการบังคับใช้มาตรการเว้นระยะห่างในเมืองหลวงแห่งนี้ และเขตข้างเคียงขึ้นสูงระดับ 2 จากทั้งหมด 3 ระดับ
จนถึงเวลา 14:00น. วันที่ 16 ส.ค. ตามเวลาท้องถิ่น การติดเชื้อซึ่งเกี่ยวข้องกับคลัสเตอร์ที่โบสถ์ ซาราง เชอิล ทางเหนือของกรุงโซล เพิ่มขึ้นเป็น 249 รายแล้ว ขณะที่การติดเชื้อที่เชื่อมโยงกับคลัสเตอร์โบสถ์ วูรี เชอิล ในเมืองยงอิน ทางตอนใต้ของกรุงโซล เพิ่มขึ้นเป็น 126 ราย ขณะที่ทางการท้องถิ่นสั่งให้ทุกคนที่ไปรวมตัวกันที่โบสถ์เหล่านี้เข้ารับการตรวจเชื้อโควิด-19
นอกจากนี้ ยังมีรายงานการติดเชื้อแบบไม่ต่อเนื่องที่ร้านอาหารจานด่วน ‘ลอตเทอเรีย’ (Lotteria), ที่บริษัทลงทุนแห่งหนึ่ง, สำนักงานหลายแห่ง, โรงเรียน รวมทั้งร้านกาแฟด้วย
...
อนึ่ง รัฐบาลกลางเกาหลีกับสำนักงานเทศบาลกรุงโซล แยกกันยื่นฟ้องร้องเอาผิด บาทหลวง ชอน กวาง-ฮุน จากโบสถ์ซาราง เชอิล ข้อหาละเมิดกฎการกักกันตนเอง และขัดขวางความพยายามของเจ้าหน้าที่ในการควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนา หลังจากเขากับพวกรวมตัวประเทศรัฐบาลในพื้นที่ใจกลางกรุงโซลเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา หลังเทศบาลกรุงโซลมีคำสั่งห้ามจับกลุ่มรวมตัวเป็นจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงงานที่จัดในโบสถ์ของเขา
ด้านประธานาธิบดี มูน แจ-อิน แห่งเกาหลีใต้ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เตือนว่าจะใช้มาตรการเข้มงวดจัดการกับการกระทำผิดกฎหมายของสมาชิกโบสถ์บางคน “นี่เป็นการท้าทายระบบควบคุมและป้องกันโรคของประเทศอย่างชัดเจน และเป็นพฤติกรรมที่ไม่สามารถอภัยได้ ซึ่งเป็นภัยต่อชีวิตของประชาชน รัฐบาลจะใช้มาตรการเข้มงวดและรุนแรงมากๆ และอาจถึงขั้นใช้การบังคับ”