ผู้ให้บริการบาร์โฮสในกรุงโตเกียว ต้องเริ่มปฏิบัติตามกฎเหล็ก ห้ามจูบกับลูกค้า หวังเร่งสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้ได้โดยเร็ว

พนักงานผู้ให้บริการลูกค้าภายในบาร์ของกรุงโตเกียว ต้องเริ่มปรับตัวรับกับกฎระเบียบขั้นเด็ดขาดของภาครัฐ หลังยังพบการระบาดของโควิด-19 เป็นวงกว้างในเมืองหลวง โดยนายชินยะ อิวามุโระ ผู้ให้คำแนะนำด้านสาธารณสุข ที่ให้คำแนะนำมาตรการในการควบคุมโรคระบาดแก่ผู้ประกอบการ ผับ บาร์ ในย่านชินจูกุและแหล่งท่องเที่ยวยามค่ำคืน แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า มาตรการด่วนที่ต้องปฏิบัติตามทันที คือ การห้ามจูบ ถ้าเป็นไปได้ให้จูบเฉพาะกับคู่รักของคุณเพียงคนเดียว และหลีกเลี่ยงการจูบแบบดูดดื่ม นอกจากนี้ควรห้ามใช้จานเดียวกัน รวมทั้งเมื่อมีการสนทนาใกล้ชิด ผู้ให้บริการแขกจะต้องนั่งในมุมที่ถูกต้องเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อผ่านละอองฝอยด้วย

โดยมาตรการดังกล่าวมีขึ้นหลังผลการทดสอบชี้ว่า พบจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่เพิ่มสูงขึ้นในย่านที่เที่ยวกลางคืนของกรุงโตเกียว โดยส่วนมากเป็นประชาชนในกลุ่มอายุราว 20-30 ปี โดยเมื่อสัปดาห์ก่อนพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เฉพาะในกรุงโตเกียวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเกือบ 300 คนต่อวัน ซึ่งการติดเชื้อในกลุ่มใหญ่นี้ ทำให้ผู้ว่าการกรุงโตเกียวต้องยกระดับการเตือนภัยในเมืองหลวงอยู่ในระดับสีแดง ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา

...

ขณะที่รัฐบาลต้องยกเว้นไม่ให้ประชาชนในกรุงโตเกียวเดินทางไปท่องเที่ยวในเมืองอื่นๆ ตามมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศมูลค่านับพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะเกรงว่าจะทำให้การระบาดยิ่งขยายวงกว้างออกไปมากขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลกำลังพิจารณาที่จะให้มีกฎหมายพิเศษ เพื่อให้สามารถประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อรองรับสถานการณ์ได้ทันที รวมทั้งอาจจะมีการเพิ่มจุดตรวจคัดกรองในย่านแหล่งที่เที่ยวกลางคืนเพิ่มมากขึ้นด้วย

อย่างไรก็ตาม มีความเห็นอีกด้านของผู้เชี่ยวชาญอย่าง นางมาซายูกิ ไซโจ ผู้อำนวยการด้านไวรัสวิทยา แห่งสถาบันโรคติดต่อแห่งชาติ ได้ออกมาเตือนว่า ไม่ควรจัดกลุ่มเสี่ยง หรือแบ่งแยกคน ว่าเป็นคนดีหรือไม่ดีจากอาชีพที่พวกเขาทำ เพราะจริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นคนทำงานกลางวัน หรือกลางคืน ก็มีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไม่ต่างกัน ซึ่งกลยุทธ์ที่ดีที่สุดที่จะควบคุมการระบาดของโรค ก็คือการลดความเสี่ยงการติดเชื้อจากคนสู่คนด้วยการเว้นระยะห่างนั่นเอง

ด้านฟากฝั่งของคนทำงานกลางคืน ต่างไม่เห็นด้วยกับมาตรการบางอย่างของภาครัฐที่ไม่สามารถนำมาใช้ได้จริง อย่างร้านคาราโอเกะต้องหันมาหาแนวทางป้องกันที่เอื้อต่อธุรกิจของตัวเอง เช่น ใช้วิธีการฆ่าเชื้อไมโครโฟน แทนที่การสวมหน้ากากอนามัย และเว้นระยะห่าง 2 เมตรตามนโยบายของรัฐ เพราะไม่สามารถทำได้จริงในทางปฏิบัติ พร้อมทั้งยังตำหนิรัฐบาลที่ไม่มีมาตรการให้ความช่วยเหลือภาคธุรกิจกลางคืนของพวกเขาอย่างเพียงพอ.