ผู้นำสหรัฐฯ ยืนกรานไม่บังคับให้ชาวอเมริกันสวมหน้ากาก เพราะถือเป็นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล แม้ยอดติดเชื้อโควิด-19 จะพุ่งทะลุกว่า 70,000 คนภายในวันเดียว


ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยืนยันในการให้สัมภาษณ์กับฟ็อกส์นิวส์ ว่าเขาจะไม่ออกกฎบังคับให้ประชาชนต้องสวมหน้ากากอนามัย เพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนา เพราะเรื่องนี้เป็นสิทธิเสรีภาพที่ประชาชนควรตัดสินใจเลือกได้ด้วยตัวเอง แม้ว่าเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เขาจะสวมหน้ากากอนามัยออกสื่อเป็นครั้งแรกขณะไปเยี่ยมโรงพยาบาลทหารวอเตอร์รีดที่ชานกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. หลังจากที่ปฏิเสธที่จะสวมหน้ากากมาตลอด

โดยการแถลงครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่ ดร.แอนโทนี่ ฟาวซี่ ที่ปรึกษาประธานาธิบดี ด้านโรคติดต่อ เพิ่งออกมาเรียกร้องให้ผู้นำท้องถิ่น มีคำสั่งให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยควบคุมการแพร่ระบาดให้เร็วที่สุด ขณะที่เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ หรือซีดีซี เพิ่งออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ประชาชนทุกคนสวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้าในที่ชุมชน เพราะถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อสู้กับโควิด-19 เพื่อให้สามารถชะลอและหยุดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศให้ได้โดยเร็ว

...

โดยในขณะนี้ รัฐส่วนใหญ่ในอเมริกา ต่างออกกฎบังคับให้ประชาชนต้องสวมหน้ากากอนามัยเวลาที่ออกจากเคหสถาน แต่ประเด็นนี้ก็ยังมีการถกเถียงกัน และมีความเห็นแตกออกเป็นสองฝั่ง รวมถึงยังมีข้อถกเถียงกันว่า ควรจะมีการสั่งเปิดโรงเรียนได้แล้วหรือไม่

โดยสถานการณ์ล่าสุดของสหรัฐอเมริกาในเวลานี้ ทางการได้ส่งกำลังทหารหลายร้อยนายเข้าไปยังรัฐเทกซัส และแคลิฟอร์เนีย เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้บุคลากรทางการแพทย์ต่อสู้กับโควิด-19 ได้รวดเร็วขึ้น โดยมีรายงานว่า ทั้งในรัฐเทกซัสและแอริโซนามีจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 จำนวนมาก จนห้องเก็บศพมีไม่เพียงพอ และต้องหันมาใช้รถบรรทุกห้องเย็น มาช่วยเก็บศพจำนวนมากแทน ขณะที่โรงพยาบาลในรัฐฟลอริดา มีรายงานว่ามีผู้ป่วยจำนวนมากจนห้องไอซียูไม่สามารถรองรับคนไข้ได้เพิ่มแล้ว

ทั้งนี้ ยอดผู้ป่วยใหม่ในสหรัฐฯ ในวันศุกร์ (17 ก.ค.) อยู่ที่ 70,674 ราย หลังจากเพิ่งทำสถิติสูงสุดถึง 77,499 รายเมื่อ 24 ชั่วโมงก่อน ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 912 ศพใน 1 วัน นับเป็นยอดเสียชีวิตที่มากเกินกว่า 900 ศพ ต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 แล้ว.