สงครามกลางเมืองใน “ลิเบีย” ที่ปะทุขึ้นตั้งแต่ พล.อ.โมอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำจอมเผด็จการ ถูกโค่นอำนาจและถูกสังหารในปี 2554 ทวีความสลับซับซ้อน เพราะมี “ต่างชาติ” เข้าแทรกแซง
สัปดาห์ที่แล้ว สหรัฐฯเผยว่า “รัสเซีย” ลอบส่งเครื่องบินขับไล่ “มิก-29” และ “ซู-24” ถึง 14 ลำ ไปให้ “กองทัพแห่งชาติลิเบีย” (แอลเอ็นเอ) ฝ่ายกบฏ ภายใต้การนำของจอมพลคาลิฟา ฮาฟตาร์ ที่ฐานทัพอากาศเมืองจูฟรา โดยส่งจากรัสเซียผ่านอิหร่านและซีเรียเข้าสู่ลิเบียแล้ว แต่ทั้งรัสเซียและแอลเอ็นเอปฏิเสธ
ขณะเดียวกัน “ตุรกี” ขาใหญ่ในภูมิภาค ก็ลอบส่งความช่วยเหลือด้านการทหาร รวมทั้ง “โดรน” อากาศยานไร้คนขับสำหรับโจมตีให้ “รัฐบาลสามัคคีแห่งชาติ” (จีเอ็นเอ) ของลิเบีย ซึ่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ให้การรับรอง และมีที่มั่นในกรุงตริโปลีทางภาคตะวันตก
“แอลเอ็นเอ” ของจอมพลฮาฟตาร์ มีที่มั่นที่เมืองโตบรุคทางภาคตะวันออก และพยายามบุกยึดกรุงตริโปลีมานานกว่า 1 ปี แต่ไม่สำเร็จ ทำให้สงครามกลางเมืองอยู่ในสภาวะยันกันอยู่ ยากจะปรากฏผลแพ้ชนะ ซึ่งในจังหวะนี้เองที่รัสเซียและตุรกีฉวยโอกาสเข้าแทรกแซง
สหรัฐฯระบุว่า แม้เครื่องบินขับไล่ของรัสเซียยังไม่ถูกใช้ปฏิบัติการ แต่จะทำให้แสนยานุภาพของแอลเอ็นเอเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่อาจไม่ถึงขั้นทำให้ชนะสงครามกลางเมืองลิเบียได้ในระยะเวลาอันใกล้
สหรัฐฯ ยังชี้ว่า เป้าหมายที่แท้จริงของรัสเซีย ไม่ใช่แค่ช่วยให้ฝ่ายจอมพลฮาฟตาร์ชนะสงคราม แต่ต้องการเข้าไปปักหลักตั้งฐานที่มั่นในลิเบียในระยะยาว เพราะลิเบียเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญใน “แอฟริกาเหนือ”
ถ้ารัสเซียปักหลักในลิเบียได้ถาวรเหมือนกับที่ทำมาแล้วในซีเรีย ก็จะเป็น “ตัวเปลี่ยนเกม” ครั้งใหญ่ต่อสหภาพยุโรป (อียู) องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) และมหาอำนาจตะวันตกรวมทั้งสหรัฐฯ
ถ้าปักหลักในลิเบียได้ รัสเซียคงไม่หยุดอยู่แค่นั้น อาจเข้าไปตั้งฐานทัพหรือระบบยิงขีปนาวุธไว้ยันกับพันธมิตรนาโตและมหาอำนาจตะวันตกในท้ายที่สุด
ส่วนลิเบีย เมื่ออ้าแขนรับให้อำนาจต่างชาติเข้าแทรกแซง ก็เท่ากับ “ชักศึกเข้าบ้าน” อีกทางหนึ่ง สงครามจะยิ่งบานปลายขยายวงและจบยากยิ่งขึ้น!