อย่างน้อย 3 รัฐในสหรัฐฯ ประกาศภาวะฉุกเฉิน หลังเกิดการประท้วงรุนแรงในช่วงสุดสัปดาห์ ขณะที่เกือบ 40 เมืองทั่วประเทศต้องอยู่ภายใต้คำสั่งเคอร์ฟิว

สำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า การประท้วงกรณีตำรวจใช้ความรุนแรงจับกุมนายจอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวสีวัย 46 ปี จนทำให้เขาเสียชีวิตเมื่อสัปดาห์ก่อน ลุกลามไปทั่วประเทศแล้ว โดยเกิดการประท้วงและจลาจลในหลายเมืองเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

การประท้วงที่เกิดขึ้นทำให้ทางการเกือบ 40 เมือง ใน 22 รัฐ ต้องใช้คำสั่งเคอร์ฟิว ห้ามคนออกจากบ้าน ทหารกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิกว่า 5,000 นายถูกส่งไปควบคุมสถานการณ์ใน 15 รัฐและกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และมีอีก 2,000 นายรอเคลื่อนกำลังเมื่อมีคำสั่ง

ตำรวจจับตาดูการประท้วงใกล้ทำเนียบขาวในวันที่ 31 พ.ค. 2563
ตำรวจจับตาดูการประท้วงใกล้ทำเนียบขาวในวันที่ 31 พ.ค. 2563

...

ล่าสุด นายดั๊ก ดูเคย์ ผู้ว่าการรัฐแอริโซนา ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และบังคับใช้มาตรการเคอร์ฟิวยาวตลอดทั้งสัปดาห์เพื่อให้ตำรวจมีทรัพยากรเพียงพอในการจับกุมผู้ที่วางแผนก่อจลาจล, ปล้นร้านค้า หรือสร้างความเสียหายและความไม่สงบภายในรัฐ

ผู้ว่าฯ รัฐเทกซัสก็ประกาศภาวะฉุกเฉินเช่นกัน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางสามารถมาช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของรัฐได้ ขณะที่รัฐเวอร์จิเนียประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อเคลื่อนทรัพยากรต่างๆ รวมทั้งกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิประจำรัฐ เพื่อรับมือการประท้วงรุนแรง

ชาวเมืองไมอามี รัฐฟลอริดา ปิดถนนเดินขบวนต่อต้านการใช้ความรุนแรงของตำรวจ
ชาวเมืองไมอามี รัฐฟลอริดา ปิดถนนเดินขบวนต่อต้านการใช้ความรุนแรงของตำรวจ

ขณะเดียวกัน นายเอริค จอห์นสัน นายกเทศมนตรีเมืองดัลลัสในรัฐเทกซัส ทวีตข้อความประกาศสถานการณ์ภัยพิบัติภายในเมือง หลังเกิดการประท้วงรุนแรงในช่วงสุดสัปดาห์ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถจัดการกับผู้ก่อเหตุปล้นร้านค้า, ทำลายข้าวของ และใช้ความรุนแรงได้.