(ภาพ) ฌาอีร์ โบลโซนาโร
ความเป็นเอกภาพของรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นเกี่ยวดองหนองยุ่งกับสถานการณ์โควิด-19 นักการเมืองบางประเทศเอาโควิด-19 มาเป็นประเด็นเล่นการเมืองโจมตีคู่แข่งและหาคะแนนเสียง
ประชาชนของบางประเทศสับสนอลหม่านเพราะรัฐบาลกลางกับรัฐบาลท้องถิ่นออกนโยบายขัดแย้งกันเอง ความสับสนทำให้กลายเป็นการต่อต้านรุนแรง เหมือนอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในสหพันธ์สาธารณรัฐบราซิลอยู่ในตอนนี้
บราซิลเป็นประเทศที่ใหญ่สุดในละตินอเมริกาทั้งในแง่ขนาดพื้นที่ (8.5 ล้าน ตร.กม.) และประชากร (210 ล้านคน) ขณะที่ผมเขียนเปิดฟ้าส่องโลกรับใช้ผู้อ่านท่านที่เคารพอยู่นี่ บราซิลมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 สูงเป็นอันดับ 9 ของโลก ตัวเลขล่าสุดคือ 101,826 คน และเสียชีวิตแล้ว 7,051 คน
ความขัดแย้งรุนแรงขึ้นอีกรอบเมื่อ 3 พฤษภาคม 2563 นายฌาอีร์ โบลโซนาโร ประธานาธิบดีบราซิลออกมาปราศรัยหน้าทำเนียบประธานาธิบดีโดยไม่สวมหน้ากากอนามัย ประธานาธิบดีต่อว่าด่าทอผู้ว่าการรัฐทั้ง 26 รัฐอย่างรุนแรง แกบอกว่ารับไม่ได้ ที่ผู้ว่าการรัฐเหล่านี้ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่หยุดทำลายเศรษฐกิจและการจ้างงานในบราซิล ด้วยการไม่ผ่อนปรนและไม่ยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ อย่างเช่นรัฐบาลท้องถิ่นของนครริโอ เด จาเนโรที่ขยายมาตรการล็อกดาวน์ไปจนถึง 11 พฤษภาคม 2563
ความขัดแย้งระหว่างประธานาธิบดีบราซิลกับผู้บริหารภาคส่วนต่างๆ เรื่องมาตรการโควิด-19 มีมาตลอด ถึงขนาดเมื่อกลางเดือนเมษายน 2563 ประธานาธิบดีโบลโซนาโรออกคำสั่งปลดนายลูอิซ เอ็นริเก แมนเดตตา จากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
...
ข้อหาที่ปลดก็คือนายแมนเดตตาออกมาขอให้รัฐบาลทำงานแบบเป็นเอกภาพ พร้อมทั้งแสดงจุดยืนให้ประชาชนคนบราซิลรักษาระยะห่างทางสังคม ขอให้อยู่แต่ในบ้าน รัฐมนตรียังพูดย้ำๆ ซ้ำๆ ว่าการสาธารณสุขบราซิลยังไม่พร้อมกับการที่มีผู้ป่วยเพิ่มจำนวนมากอย่างรวดเร็ว
ผู้ว่าการทั้ง 26 รัฐเห็นด้วยและปฏิบัติตามแนวทางที่รัฐมนตรีสาธารณสุขแมนเดตตาเสนอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องให้ประชาชนทำงานจากที่บ้านและปิดสถานประกอบการทั่วประเทศ
แนะนำประชาชนเท่านี้ละครับ ประธานาธิบดีสั่งปลดรัฐมนตรีทันที ตามความเข้าใจของประธานาธิบดีโบลโซนาโร แกคิดว่าโควิด-19 ไม่ต่างอะไรกับโรคหวัด แกคิดว่าการเว้นระยะห่างทางสังคมเป็นตัวทำลายเศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจแย่จะอันตรายกว่าโรคระบาดแกหงุดหงิดทุกทีที่พบว่าผู้บริหารท้องถิ่นใช้มาตรการควบคุมโควิด-19 อย่างเข้มงวด
ประธานาธิบดีงัดกับฝ่ายบริหารมากขึ้นเมื่อ 19 เมษายน 2563 ประธานาธิบดีโบลโซนาโรออกมาประท้วงร่วมกับประชาชน แถมยังบ้าขนาดขอให้กองทัพบราซิลทำรัฐประหารรัฐบาลของตัวเอง ความมุ่งหวังตั้งใจของประธานาธิบดีก็คือต้องการให้ทหารเข้ามาแก้ไขปัญหาโควิด-19 แทน ประธานาธิบดีประกาศยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์แล้ว แต่สภาและศาลสูงไม่ให้ยกเลิก ประธานาธิบดีก็เลยนำประชาชนประท้วงคำสั่งล็อกดาวน์ว่าเป็นการใช้อำนาจแบบเผด็จการ
ประธานาธิบดีโบลโซนาโรถูกโดดเดี่ยวทางการเมือง ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่อยากคบค้าสมาคมด้วย เพราะทุกคนเห็นอยู่แล้วว่าที่โควิด-19 ระบาดในบราซิลอย่างหนักเพราะประธานาธิบดีประมาท แถมยังประเมินสถานการณ์ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น หลายฝ่ายมองว่าแกแก้เก้อด้วยการเข้าข้างผู้ประท้วงการล็อกดาวน์ประเทศ เพื่อระดมฐานเสียงทางการเมืองมากกว่า
ความขัดแย้งระหว่างประธานาธิบดีและผู้ว่าการรัฐทำให้สังคมบราซิลแตกเละตุ้มเป๊ะ การบริหารจัดการภาวะวิกฤติต้องแก้ด้วยความร่วมมือร่วมใจของทุกฝ่าย ทั้งภาคบริหาร ภาคปฏิบัติการ และภาคประชาชน เป็นเรื่องแปลกที่ประธานาธิบดีโบลโซนาโรดันออกมาขวางระดับปฏิบัติการเสียเอง ทำให้ทั่วโลกวิพากษ์วิจารณ์ถึงวุฒิภาวะของ ผู้นำบราซิล บางคนวิจารณ์ถึงขนาดว่า แกเป็นประธานาธิบดีบ้าอำนาจ
นักการเมืองหลายประเทศทำคล้ายกับประธานาธิบดีบราซิล เรียกร้องให้ยกเลิกล็อกดาวน์ บางประเทศยอมทำตาม แต่พอขยับผ่อนคลายเพื่อให้นำไปสู่การยกเลิก ก็พบว่ามีผู้คนก็ติดเชื้อและตายกันมากขึ้น
ที่เด็ดขาดมากที่สุดก็คือจีน ความเด็ดขาดทำให้เกิดความมีเอกภาพและชนะโควิด-19 ในท้ายที่สุด ส่วนบราซิล บอกตรงๆ ว่าน่าเป็นห่วงมากครับ.
นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com