สหรัฐฯ มีพบติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศมากกว่า 600,000 รายแล้ว ขณะที่ผู้เสียชีวิตก็เพิ่มขึ้นจนมากกว่า 25,000 ศพ
เว็บไซต์ ศูนย์ข้อมูลไวรัสโคโรนา ของมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮ็อปกินส์ ระบุว่า ยอดสะสมของผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 602,989 ราย แล้ว ณ เวลา 05:31 น. วันพุธที่ 15 เม.ย. 2563 ตามเวลาประเทศไทย โดยเป็นผลมาจากการตรวจร่างกายประชาชนถึง 3,081,620 คน
ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในรัฐนิวยอร์ก โดยยอดสะสมล่าสุดเพิ่มขึ้นเป็น 202,630 ราย ซึ่งสูงกว่าประเทศใดในโลก ตามด้วยรัฐนิวเจอร์ซีย์ที่ 68,824 ราย และมีอีกถึง 7 รัฐที่มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 20,000 ราย
ขณะที่ผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 25,575 ศพ โดย 10,834 ศพในจำนวนนี้อยู่ในรัฐนิวยอร์ก และกว่า 7,900 ศพ อยู่ในนครนิวยอร์กเพียงเมืองเดียว

...
ทั้งนี้ การระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องการเปิดประเทศให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หยุดชะงักเพราะมาตรการล็อกดาวน์ กลับมาเคลื่อนไหวโดยเร็วที่สุด ซึ่งความพยายามของเขาทำให้เกิดความขัดแย้งกับผู้ว่าการรัฐต่างๆ ที่ต้องการปิดเมืองต่อไปก่อนจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา นายทรัมป์ทวีตข้อความระบุว่า การตัดสินใจว่าจะเปิดรัฐเมื่อไหร่ เป็นอำนาจของประธานาธิบดี ไม่ใช่ของผู้ว่าการรัฐ แต่ตามรัฐธรรมนูญระบุไว้ว่า เป็นอำนาจของแต่ละรัฐที่จะรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยกับความปลอดภัยในสังคม และอำนาจในการประกาศล็อกดาวน์ หรือสั่งให้อยู่แต่ในบ้าน ก็เป็นของผู้ว่าการรัฐ
ในวันเดียวกัน ผู้ว่าฯ หลายรัฐเริ่มหารือแผนการเริ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยไม่ต้องให้รัฐบาลของนายทรัมป์เข้ามายุ่งเกี่ยว และผู้ว่าฯ ของ 10 รัฐ นำโดยนายแอนดรูว์ คูโอมา ของนิวยอร์กยืนยันว่า พวกเขาจะใช้ความร่วมมือเรื่องการเปิดธุรกิจต่างๆ ภายในรัฐหลังจากการระบาดถูกควบคุมได้แล้วเท่านั้น

แต่ในวันอังคารนายทรัมป์เปลี่ยนท่าที โดยยอมรับว่า การยุติมาตรการล็อกดาวน์เป็นความรับผิดชอบของผู้ว่าการรัฐ อย่างไรก็ตาม นายทรัมป์เปิดเผยด้วยว่า แผนการเปิดประเทศใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยเป็นแผนที่อาจทำให้สหรัฐฯ เปิดประเทศก่อนวันที่ 1 พ.ค. ซึ่งเขาจะหารือกับผู้ว่าฯ ของทั้ง 50 รัฐอีกครั้ง และให้อำนาจพวกเขานำแผนนี้ไปบังคับใช้