การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ “โควิด-19” ทำให้วิถีชีวิตของมนุษยชาติบนโลกใบนี้เปลี่ยนแปลงไปเกือบสิ้นเชิง แม้แต่ใน “โลกใต้ดิน” หรือวงการอาชญากรมิจฉาชีพทั่วโลก ก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจนต้องพยายามเปลี่ยนแปลงดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดเช่นกัน!
องค์การตำรวจยุโรป (ยูโรโปล) เตือนว่า มาตรการ “ล็อกดาวน์” ปิดเมืองปิดประเทศปิดพรมแดน ซึ่งทำให้ผู้คนกว่า 1.3 พันล้านคน หรือกว่า 1 ใน 3 ของประชากรโลก ต้องกักตัวอยู่แต่ในบ้านเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้พวกอาชญากรทำมาหากินในรูปแบบเดิมๆ ไม่ได้ รวมทั้งการโจรกรรม การค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ ฯลฯ ซึ่งเคยกอบโกยเงินได้มหาศาล
พวกอาชญากรซึ่งยึดถือเงินเป็นสรณะ โดยไม่สนเรื่องศีลธรรมและวิธีการที่ใช้ จึงพยายามพลิกวิกฤติจากโควิด-19 เป็นโอกาส หาวิธีทำเงินในรูปแบบใหม่ๆ โดยใช้ความแตกตื่นหวาดกลัวของผู้คนเป็นอาวุธ!
ตำรวจหลายประเทศในยุโรประบุตรงกันว่า ช่วงนี้สถิติการก่ออาชญากรรมในรูปแบบปกติลดลงอย่างฮวบฮาบ โดยที่สเปน ตั้งแต่มีการล็อกดาวน์ปิดประเทศเมื่อ 14 มี.ค. สถิติการก่ออาชญากรรมรูปแบบเดิมๆลดลงกว่า 50 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว เพราะพวกอาชญากรเคลื่อนไหวได้ยากขึ้น
ตำรวจสวีเดนและออสเตรียก็เผยว่า สถิติการก่อคดีโจรกรรม ลักขโมยทรัพย์สินตามบ้านเรือนก็ลดลงมากตั้งแต่มีมาตรการล็อกดาวน์ให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้าน อีกหลายประเทศในยุโรปก็รายงานว่า สถิติการค้ายาเสพติดบนท้องถนนก็ลดลงฮวบฮาบตั้งแต่มีการปิดพรมแดนจำกัดการเคลื่อนไหวของประชาชน
...
แต่ในทางกลับกัน สถิติการก่ออาชญากรรมทางอินเตอร์เน็ตออนไลน์ หรือ “อาชญากรรมไซเบอร์” (Cybercrime) กลับพุ่งพรวดๆขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยพวกอาชญากรใช้กรรมวิธีหลากหลายสลับซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ แถมยังมีการร่วมมือแชร์ข้อมูลกันอย่างเป็นระบบด้วย
อาชญากรรมไซเบอร์ รวมทั้งการส่งอีเมล การโพสต์ข้อความบนเว็บไซต์และเครือข่ายสังคมออนไลน์ต่างๆ หลอกต้มเอาเงินจากผู้คน เช่นการหลอกขายยารักษาโควิด-19 ปลอม อุปกรณ์ทางการแพทย์ปลอม รวมทั้งชุดป้องกันเชื้อโรค หน้ากากอนามัย หรือเจล-แอลกอฮอล์ล้างมือที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือไม่มีสินค้าส่งมอบจริง
ตำรวจอังกฤษและเยอรมนีเตือนว่า พวกอาชญากรไซเบอร์มักมุ่งเป้าไปที่ผู้หาซื้อยาและเวชภัณฑ์ทางอินเตอร์เน็ต ด้วยการส่งอีเมลไปหลอกให้โอนเงินก่อน ซึ่งตำรวจในยุโรปกับอีกหลายประเทศทั่วโลกสามารถทลายแก๊งหลอกขายหน้ากากอนามัยปลอมได้แล้วจำนวนมาก
แม้แต่องค์การอนามัยโลก (WHO) หัวหอกต่อสู้กับโควิด-19 ก็เตือนว่าตนก็ตกเป็นเหยื่อถูกพวกอาชญากรแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของ WHO ส่งอีเมลไปหลอกเอาเงินหรือข้อมูลส่วนตัวที่ละเอียดอ่อนของประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ
ในเดนมาร์ก ตำรวจเตือนประชาชนให้ระวังพวกโจรที่ปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ สวมหน้ากากและชุดป้องกันเชื้อโรคไปขอตรวจหาเชื้อโควิด-19 ตามบ้านเรือน เมื่อสบโอกาสก็ปล้นหรือขโมยทรัพย์สิน โดยเฉพาะจากผู้สูงอายุที่กักตัวอยู่ในบ้าน
ตำรวจยังเตือนให้พวกสาวๆ หรือวัยรุ่นที่ใช้เวลาว่างขณะกักตัวในบ้านก้มหน้าก้มตาเล่นอินเตอร์เน็ต ให้ระวังตกเป็นเหยื่อพวกหื่นกาม ใช้กลวิธีโพสต์หลอกล่อหาช่องทางข่มขืนหรือล่วงละเมิดทางเพศ โดยนางแอนนา คาริน ฮิลดิงสัน โบควิสต์ ผอ.กลุ่มพิทักษ์สิทธิเด็ก “เอ็กแพ็ต” ในสวีเดนเผยว่า ตรวจพบหลายเว็บเพจที่พวกอาชญากรใช้แชร์ความรู้กันว่าจะฉวยโอกาสแสวงหาผลประโยชน์จากเยาวชนในช่วงวิกฤติโควิด-19 อย่างไร
นอกจากการหลอกต้มวิกฤติโควิด-19 ยังส่งผลให้เกิดปัญหาอื่นๆ เช่น ที่อิตาลี ซึ่งมีการแพร่ระบาดรุนแรงและมีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก ธุรกิจเอสเอ็มอีมากมายได้รับผลกระทบอย่างหนักใกล้ล้มละลาย เจ้าของธุรกิจจึงหันไปกู้เงินนอกระบบจากแก๊งมาเฟียเพื่อความอยู่รอด อาจตกเป็นเหยื่อการแบล็กเมล์ขู่กรรโชกทรัพย์ได้ง่ายๆ
มาตรการล็อกดาวน์ บังคับให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้านรวมกัน ยังส่งผลให้สถิติการก่อความรุนแรงในครอบครัวพุ่งขึ้น โดยสถานีตำรวจหลายแห่งในฝรั่งเศสเผยว่า ตั้งแต่มีมาตรการล็อกดาวน์เมื่อ 17 มี.ค. คดีความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้นกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งที่อังกฤษก็มีรายงานคล้ายกัน
...
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังทำให้มนุษย์บางจำพวกแสดงธาตุแท้ที่เลวร้ายเห็นแก่ตัวที่สุดของตนเองออกมา เช่น มีการขโมยถังออกซิเจนสำหรับผู้ป่วยวิกฤติไปจากโรงพยาบาล นอกจากนี้ ยังทำให้เกิด “พฤติกรรมต่อต้านสังคม” ต่างๆ ที่น่าตกใจ เช่น เกิดคดีคนจงใจไอหรือถ่มน้ำลายใส่หน้าประชาชนหรือบุคลากรทางการแพทย์ โดยอ้างว่าตนติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งในประเทศ ไทยก็มีข่าวทำนองนี้เช่นกัน
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ส่งผลกระทบกว้างขวางรุนแรงไปทั่วทุกองคาพยพเหลือคณานับ แต่ท่ามกลางความเลวร้าย ก็มีสิ่งดีๆให้เห็นไม่น้อยเช่นกัน เช่น ความเอื้ออาทรและธารน้ำใจของมนุษยชาติที่หยิบยื่นให้กันในยามเผชิญชะตากรรมเดียวกัน!
บวร โทศรีแก้ว