ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ กำลังทบทวนว่าอาจจะแนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากากเพื่อป้องกันไวรัสโควิด-19 ขัดแย้งกับคำแนะขององค์การอนามัยโลกก่อนหน้านี้ที่บอกว่า การใส่หน้ากากไม่มีประโยชน์

สำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น เผยแพร่บทวิเคราะห์ของนักข่าว เจมส์ กริฟฟิธส์ ซึ่งระบุว่า ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า รัฐบาลยุโรปอาจออกมาแนะนำให้ประชาชนหันมาใส่หน้ากากเพื่อป้องกันกับไวรัสโควิด-19 หลังจากชาติเอเชียหลายประเทศเช่น จีน กับเกาหลีใต้ ใช้มาตรการดังกล่าวตั้งแต่เริ่มการระบาด ไม่ว่าคนใส่จะป่วยหรือไม่ และจนถึงตอนนี้ก็เห็นชัดว่า พวกเขามีอัตราการติดเชื้อที่ต่ำกว่า และควบคุมการระบาดได้เร็วกว่าชาติในยุโรปและอเมริกาเหนือ

ก่อนหน้านี้ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขในยุโรป รวมทั้งนักการเมือง ออกมาประกาศอย่างมั่นใจว่า หน้ากากอนามัยไม่ช่วยป้องกันไวรัส และเรียกร้องให้คนเน้นการล้างมือและรักษาระยะห่างในสังคมแทน หนึ่งในนั้นคือ ดร.เจอโรม อดัมส์ หัวหน้าศัลยแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา ที่ทวีตข้อความว่า “หยุดซื้อหน้ากาก!” เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์

ในเวลาเดียวกันนั้น นายโรเบิร์ต เรดฟีลด์ ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ (CDC) ก็กล่าวในสภาว่าไม่แนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากากเช่นกัน แต่ล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (30 มี.ค. 2563) เขาบอกกับสถานีวิทยา ’NRP’ ว่า CDC กำลังทบทวนคำแนะนำของพวกเขาใหม่ และอาจแนะนำให้ประชาชนส่วนหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อในชุมชน ซึ่งนายกริฟฟิธส์เชื่อว่า อีกไม่นาน กลุ่มที่ไม่เป็นด้วยกับการใส่หน้ากากอย่างองค์การอนามัยโลก (WHO) ก็จะประกาศอย่างเดียวกัน

...

รัฐมนตรีญี่ปุ่นสวมหน้ากากอนามัยระหว่างร่วมประชุมสภา
รัฐมนตรีญี่ปุ่นสวมหน้ากากอนามัยระหว่างร่วมประชุมสภา

ขณะที่ในเดือนมีนาคม นายเอเดรียน เบิร์ช ผู้เชี่ยวชาญด้านจุลชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เขียนบทความไว้ว่า แม้จะมีคนบอกว่าหน้ากากใช้ไม่ได้ผล แต่ตามข้อเท็จจริงแล้วมีหลักฐานว่า มันสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสเช่นการระบาดในปัจจุบันนี้ได้ ซึ่งหลักฐานปรากฏชัดในช่วงการระบาดของโรคซาร์สเมื่อปี 2546 ผลการวิจัยเรื่องการติดต่อของโรคในชุมชนชิ้นหนึ่งของจีน พบว่า การใส่หน้ากากอนามัยอย่างต่อเนื่องในที่สาธารณะ ช่วยลดความเสี่ยงติดโรคซาร์สถึง 70% และซาร์สเป็นไวรัสในตระกูลไวรัสโคโรนา เช่นเดียวกับโควิด-19

ด้าน ดร.อีวาน ฮุง ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อของโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยฮ่องกง บอกกับซีเอ็นเอ็นว่า หากดูข้อมูลการระบาดในฮ่องกง จะเห็นว่า การใส่หน้ากากอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในแง่การควบคุมการติดเชื้อ และไม่ใช่แค่ทำให้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 น้อยลง ยังทำให้ผู้ติดไข้หวัดใหญ่ลดลงไปด้วย แม้ตอนนี้จะเป็นฤดูไข้หวัดใหญ่ระบาด แต่กลับแทบไม่เจอคนป่วยไข้หวัดใหญ่เลย เพราะหน้ากากอนามัยช่วยป้องกันไวรัสโคโรนาและไวรัสไข้หวัดใหญ่ด้วยนั่นเอง

“จากผลการวิจัยดังกล่าว หนัากากมีประโยชน์มากกว่าจะเป็นโทษ” นายเบิร์ชกล่าว “แม้จะเป็นหน้ากากผ้าทำเอง หากใส่ให้ถูกวิธีและหลีกเลี่ยงการสัมผัสมัน ในทางวิทยาศาสตร์ชี้ว่า มันจะไม่ทำร้ายคุณ และมีโอกาสมากกว่าที่จะลดการสัมผัสไวรัสของคุณลงด้วย”

โรงพยาบาลในหลายประเทศที่ไวรัสโควิด-19 ระบาด กำลังขาดแคลนอุปกรณ์ป้องกันเช่นหน้ากากอนามัย
โรงพยาบาลในหลายประเทศที่ไวรัสโควิด-19 ระบาด กำลังขาดแคลนอุปกรณ์ป้องกันเช่นหน้ากากอนามัย

ทั้งนี้ ไวรัสโควิด-19 แพร่ผ่านสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจที่ผลิตออกมาเมื่อผู้ติดเชื้อไอ หรือ จาม เป็นหลัก ซึ่งมันอาจกระเด็นเข้าปากหรือจมูกของคนที่อยู่ใกล้ๆ หรืออาจสูดเข้าไปเลยก็เป็นได้ ที่ผ่านมา CDC รวมทั้ง WHO จึงแนะนำให้คนป่วย หรือผู้ที่ดูแลคนป่วยสวมหน้ากากป้องกัน แต่ทั้ง 2 องค์กรรวมทั้งหน่วยงานสาธารณสุขอื่นๆ กลับย้ำตลอดว่า หน้ากากไม่ได้ช่วยป้องกันไวรัสในสถานการณ์ปกติ และว่าผู้ที่จำเป็นต้องใช้หน้ากากที่สุดคือบุคลากรทางการแพทย์และผู้ที่ดูแลคนป่วย

...

คำแนะนำที่ย้อนแย้งนี้ทำให้ความสับสนขึ้นว่าจริงๆ แล้ว หน้ากากช่วยป้องกันเชื้อหรือไม่กันแน่ เห็นได้จากข้อความตอบกลับทวีตของ ดร.อดัมส์ ที่ชาวเน็ตบางคนตั้งคำถามว่า “ทำไมหน้ากากจึงดีต่อเจ้าหน้าที่การแพทย์ แต่ไม่ดีสำหรับประชาชน?”