ตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งแรงอีกวันจากความกังวลเรื่องการระบาดของไวรัสโควิด-19 แม้ว่าธนาคารกลางทั่วโลกจะร่วมมือออกมาตรการผ่อนคลายผลกระทบออกมาก็ตาม
สำนักข่าว แชนเนลนิวส์เอเชียและบีบีซี รายงานว่า เมื่อวันจันทร์ที่ 16 มี.ค. ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเผชิญวันที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี 2530 และต้องใช้มาตรการหยุดการซื้อขาย 15 นาที หรือเซอร์กิต เบรกเกอร์ อีกครั้ง แต่ก็ไม่อาจชะลอการแทขายของนักลงทุน สุดท้ายดัชนีดาวโจนส์ของสหรัฐฯ ร่วงถึง 2,997.1 จุด (ราว 12.9%) ปิดที่ 20,188.5 จุด ขณะที่เอสแอนด์พี 500 ลดลง 11.9% และแนสแด็กลดลง 12.3%
ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วยุโรปก็ร่วงแรงเช่นกัน แต่ไม่รุนแรงเท่าสหรัฐฯ โดยดัชนี FTSE 100 ปิดลบ 4%, ดัชนี Cac ของฝรั่งเศสลดลงมากกว่า 5.7% และดัชนี Dax ของเยอรมนีก็ลดลงมากกว่า 5.3% ส่วนที่เอเชีย ดัชนีนิคเคอิ 225 ของญี่ปุ่นปิดลบ 2.5% ดัชนีเซี่ยงไฮ้ คอมโพซิต ของจีนลดลง 3.3%
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) พยายามค้ำจุนเศรษฐกิจที่กำลังได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือเกือบ 0% รวมทั้งอัดฉีดเงิน 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เข้าสู่เศรษฐกิจ และร่วมมือกับธนาคารกลางในหลายชาติยุโรปเพื่อลดอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
ไม่เพียงเท่านั้น ในวันจันทร์ เฟดยังประกาศอัดฉีดเงินเข้าเศรษฐกิจเพิ่มอีก 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยการซื้อพันธบัตรและตราสารหนี้ เช่นเดียวกับธนาคารกลางญี่ปุ่นที่ประกาศมาตรการเดียวกัน แต่ก็ยังไม่สามารถคลายความกังวลเรื่องการระบาดของไวรัสโควิด-19 ของนักลงทุนได้
...
ด้านราคาน้ำมัน ซึ่งสั่นคลอนเพราะการทำสงครามราคาระหว่างผู้ผลิตรายใหญ่อย่างซาอุดีอาระเบียกับรัสเซีย ก็ลดลงอีก โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ลดลงมากกว่า 10% จนเหลือไม่ถึง 32 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมัน West Texas ลดมากกว่า 8% เหลือไม่ถึง 30 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล