หลายคนไม่คาดคิดว่าคาเวียร์ที่เสิร์ฟขึ้นโต๊ะตามร้านอาหารระดับมิชลินนั้นอาจมาจากประเทศจีน ด้วยเป็นประเทศที่เคยมีเรื่องฉาวเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ทั้งนมผงปนเปื้อน ซอสถั่วเหลืองปนสารหนูและข้าวปนเปื้อนสารพิษประเภทแคดเมียม
แต่ปัจจุบัน ไข่จากปลาสเตอร์เจียน แหล่งไข่ปลาคาเวียร์ที่ทั่วโลกต้องการ อยู่ที่มณฑลเจ้อเจียง ภาคตะวันออกของจีน ซึ่งตั้งโรงงานอุตสาหกรรมแบรนด์ดัง Kaluga Queen เมื่อปี 2548 ทำงานร่วมกับกระทรวงเกษตรของรัฐบาลจีน ผลิตป้อนตลาดโลก 3 ใน 4 ส่วน จน ติดอันดับประเทศส่งออกไข่ปลาคาเวียร์มากที่สุดในโลก เช่นเดียวกันกับอิตาลีและฝรั่งเศส
(จากแต่ก่อนนานมา อิหร่านกับรัสเซียจับปลาสเตอร์เจียนในทะเลแคสเปียน แต่ประชากรปลาเริ่มหดตัวลงอย่างรวดเร็ว เพราะการจับปลาอย่างหนัก จนต้องมีกฎหมายห้ามจับปลาสเตอร์เจียนในทะเลแคสเปียนเมื่อปี 2551 ทำให้เกิดอุตสาหกรรมตั้งฟาร์มเลี้ยงปลาสเตอร์เจียนไปทั่วทุกมุมโลก)
ฟาร์มแห่งนี้ของจีนต้องนั่งเรือออกไปราว 20 นาทีเพื่อไปขึ้นฝั่งของ ทะเลสาปพันเกาะ หรือภาษาจีนที่เรียกว่า “เชียนเต๋าหู” บ่อสระที่มีปลาว่ายเวียนอายุตั้งแต่ 5 ถึง 15 ปี ขนาดใหญ่สุดลำตัวจะโตความยาว 4 ม. หนักถึง 300 กก. เลี้ยงด้วยอาหารที่ปั้นเป็นก้อนกลมๆ ผสมระหว่างกุ้ง ถั่วพีและวิตามิน ซึ่งที่บริษัทแห่งนี้มีพนักงาน 300 คน ทำหน้าที่เลี้ยงปลาราว 200,000 ตัว
ผลิตภัณฑ์ไข่ปลาคาเวียร์ที่ได้เช่นปีที่แล้ว 86 ตัน ส่วนใหญ่ส่งออก ครึ่งหนึ่งไปยังสหภาพยุโรปหรืออียู ส่วน 20 % ไปยังสหรัฐฯ และอีก 10% ไปรัสเซีย ราคาก็ขึ้นอยู่กับแต่ละสายพันธุ์ตั้งแต่ กก.ละ 10,000- 180,000 หยวน หรือราว 50,000-900,000 บาท
ทุกวันนี้ คาเวียร์จาก Kaluga Queen สร้างรายได้ต่อปี 220 ล้านหยวน หรือราวๆ 1,100 ล้านบาท มีลูกค้าสนใจมากมาย ทั้งสายการบินลุฟฮันซ่า ของเยอรมนี ภัตตาคารระดับมิชลิน 2 ดาว “L’Atelier de Joel Robuchon” ในนครเซี่ยงไฮ้ ของจีน แม้แต่เชฟกาย ซาวอย ชาวฝรั่งเศส ที่มีร้านอาหารระดับมิชลิน 3 ดาวในกรุงปารีส ของฝรั่งเศส ที่มองป้ายที่เขียนว่า “เมด อิน ไชน่า” ไม่ใช่เรื่องใหญ่ สิ่งสำคัญคือคุณภาพในการเพาะพันธุ์ ปลาต่างหาก...
...
ฤทัยรัช จันทร์เพ็ญ