ในยุคสงครามโลก การรบของมนุษย์ได้กลายเป็นสามมิติ คือนอกจากทางบก ทางเรือ แล้วยังมีทางอากาศเพิ่มขึ้นมา ซึ่งได้เปลี่ยนรูปแบบการศึกไปชนิดพลิกฝ่ามือ
ผลลัพธ์คือใครที่ครองน่านฟ้าได้ ย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง ยกตัวอย่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ในเวลาต่อมา ที่ช่วงครึ่งแรกเยอรมนี-ญี่ปุ่น แผ่อำนาจไปทั่วดินแดน แต่ครึ่งหลังเป็นทีของฝ่ายสัมพันธมิตรเอาคืน
สถานการณ์ในปัจจุบันก็ฉันใดฉันนั้น สหรัฐฯครองน่านฟ้าจนยึดอิรักได้อย่างง่ายดาย ขณะที่รัฐบาลซีเรียก็ได้รับการสนับสนุนจากทัพฟ้ารัสเซีย จนสามารถพลิกสถานการณ์ยึดคืนดินแดนจากกลุ่มกบฏอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่กองทัพเกาหลีเหนือ ซึ่งกำลังเบ่งกล้ามแสดงแสนยานุภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อกดดันรัฐบาลสหรัฐฯให้กลับสู่โต๊ะเจรจา ก็เพิ่งเปิดกรุโชว์ศักยภาพทัพฟ้าไปเมื่อกลางเดือน พ.ย. ด้วยการจัดแข่งขันซ้อมรบกองทัพอากาศที่ฐานทัพวอนซาน โดยมีนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดร่วมชมอย่างใกล้ชิด
จากคลิปวิดีโอสื่อโสมแดง และภาพถ่ายทางดาวเทียม พบว่าเกาหลีเหนือขนยุทโธปกรณ์ออกมาเป็นจำนวนมากไม่ว่าเครื่องรุ่นเก่ามิก-15 มิก-17 มิก-21 บินทิ้งระเบิดอิลยูชิน-28 ไปจนถึงอาวุธล้ำค่า คือฝูงบินพิทักษ์กรุงเปียงยาง เครื่องขับไล่มิก-29 และยานพาหนะส่วนตัวผู้นำ เครื่องอิลยูชิน-62 เอ็ม หรือที่เรียกกันว่า “คิม ฟอร์ซ วัน”
นักวิเคราะห์ความมั่นคงสหรัฐฯมองว่า ไม่แปลกที่รัฐบาลเกาหลีเหนือต้องเร่งพัฒนาศักยภาพทางขีปนาวุธหรือนิวเคลียร์ เพราะหากเทียบกับประเทศรอบบ้านแล้ว กองทัพอากาศเกาหลีเหนือไม่สามารถไปต่อกรกับใครได้เลย ขนาดอาวุธสำคัญอย่างมิก-29 ที่เชื่อว่ามีอยู่ 35 ลำ ก็ใช้มาตั้งแต่สองทศวรรษก่อน
อย่างไรก็ตาม มีสิ่งที่น่ากลัวหนึ่งอย่างคือ เครื่องบินใบพัดปีกคู่รุ่นโบราณ “แอนโตนอฟ–2” เนื่องจากในการซ้อมรบครั้งหนึ่ง เกาหลีเหนือได้ใช้เครื่องรุ่นนี้ปล่อยหน่วยพลร่มคอมมานโดในระดับเพดานบินต่ำ
...
ซึ่งหากใช้ในการรบปัจจุบันที่พึ่งพาเทคโนโลยีเรดาร์ตรวจจับเป็นหลักแล้ว จะเป็นเรื่องยากต่อการป้องกัน เพราะแอนโตนอฟ-2 ที่บินต่ำลัดเลาะไปตามสภาพภูมิศาสตร์ จะไม่ค่อยแสดงตัวในเรดาร์ หน่วยป้องกันทางอากาศต้องไปอยู่ถูกที่ถูกเวลาจริงๆ เพื่อจัดการในระยะสายตา
จึงมีความเป็นไปได้ยิ่งนัก ที่ในการโจมตีกะทันหันคอมมานโดเกาหลีเหนือจะสามารถแทรกซึมไปตามจุดต่างๆได้อย่างรวดเร็ว และกว่าจะตั้งตัวทันความเสียหายก็เกินที่จะคาดเดา.
ตุ๊ ปากเกร็ด