12 สิงหาคม 2562 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย ผู้เขียนคอลัมน์เปิดฟ้าส่องโลก
ประเด็นแคชเมียร์ของอินเดีย ปากีสถาน และจีน ยังแรง โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดได้ครับ ตอนนี้มีการเดินขบวนประท้วงเพิ่มในอีกมากมายหลายจุด นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ออกมาบอกว่า ที่ต้องตัดสินใจยกเลิกสถานะพิเศษของแคชเมียร์ก็เพราะต้องการกวาดล้างกลุ่มก่อการร้ายและแบ่งแยกดินแดน
ขณะที่เขียนคอลัมน์ ทราบว่าอินเดียจับกุมผู้นำชาวแคชเมียร์ไปหลายคนแล้ว ไม่ว่าจะเป็น เมห์บูบา มุฟตี โอมาร์ อับดุลเลาะห์ อดีตมุขมนตรีของรัฐ และซาจาด โลเน ผู้นำพรรคการเมืองท้องถิ่น ข้อหาที่ผู้นำเหล่านี้โดนก็คือ ดันไปเกี่ยวดองหนองยุ่งกับการบ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยและอาจปลุกระดมมวลชนให้ก่อเหตุจลาจลวุ่นวาย เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งเคอร์ฟิว
ศุกร์ที่ผ่านมา ผมรับใช้เกี่ยวกับสงครามอินเดียและปากีสถานครั้งที่ 1 วันนี้ขอต่อสงครามอินเดียและปากีสถานครั้งที่ 2 ครับ
ค.ศ.1965 ปากีสถานเข้าใจว่าอินเดียยังไม่พร้อมที่จะปกป้องตนเอง หากปากีสถานโจมตีอย่างสายฟ้าแลบ ปากีสถานคิดเอาเองว่า คนส่วนใหญ่ในแคชเมียร์เป็นมุสลิม มุสลิมจึงต้องพร้อมที่จะเข้าร่วมกับปากีสถานอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ตอนนั้น เนห์รู นายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดียถึงแก่อสัญกรรมเมื่อ 27 พฤษภาคม 1964 นายกฯ คนต่อมาคือ ลาล บาหะดูร์ ศาสตรี เป็นคนไม่เข้มแข็ง ซุลฟิการ์ อาลี บุตโต จึงยุให้ประธานาธิบดีอัยยุบ ข่าน ของปากีสถาน ส่งกองทัพข้ามเส้นหยุดยิงเข้าไปโจมตีรัฐจัมมูและแคชเมียร์
นายบุตโตเชื่อว่าทหารปากีสถาน 1 คน มีศักยภาพเท่ากับทหารอินเดีย 4 คน ถ้ารบกับอินเดีย ปากีสถานชนะแหงแก๋ ประธานาธิบดีข่านจึงส่งทหาร 3 หมื่นคน แต่งกายแบบแคชเมียร์บุกข้ามเส้นหยุดยิงไปที่จัมมูและแคชเมียร์เมื่อ 5 สิงหาคม 1965 เพื่อลวงอินเดียให้เข้าใจว่า คนแคชเมียร์ลุกขึ้นต่อต้านอินเดียแล้วเฟ้ย พร้อมกับมโนไปว่า มุสลิมพื้นเมืองในแคชเมียร์จะร่วมลุยกับตนเอง
...
อินเดียตอบโต้ทหารปากีสถานที่ปลอมตัวเป็นชาวพื้นเมืองแคชเมียร์ จนถอยข้ามเส้นหยุดยิงไปอยู่ในเขตแดนของปากีสถานเอง ปากีสถานก็ตะโกนก้องร้องบอกชาวโลกว่าอินเดียบุกข้าพเจ้าโดยพลการ อินเดียบอก เปล่า อีนี้ตีตอบโต้พวกปากีเท่านั้น อินเดียประสบความสำเร็จขนาดเคลื่อนพลเข้าใกล้สนามบินนานาชาติละฮอร์ได้ แต่สองฝ่ายก็สูญเสียกำลังทหารหลายพันคน สุดท้ายสหประชาชาติสั่งให้ยุติสงคราม
สงครามครั้งนี้ทำให้ปากีสถานรู้ถึงนิสัยสันดานโดยแท้ของสหรัฐฯเพราะปากีสถานกับสหรัฐฯมี The Agreement of Cooperation หรือข้อตกลงความร่วมมือ ดังนั้น เมื่อปากีสถานมีสงคราม หน้าที่ของคนที่ลงนามในข้อตกลงก็ต้องช่วยกันรบ สหรัฐฯไม่ช่วยไม่ว่า ยังไปตะโกนก้องร้องบอกชาวโลกว่า ไอไม่เกี่ยวนะ ไอเป็นกลางนะ แถมยังระงับการส่งยุทโธปกรณ์ให้ปากีสถาน ระงับยังไม่พอ ยังถอนคณะที่ปรึกษาทางทหารออกจากปากีสถานอีกด้วย
ปากีสถานโกรธมาก บอกว่า เฮ้ย เอ็งเป็นเพื่อนแบบไหนกันนี่ ต่อมา เมื่อสัญญาเช่าสถานที่ที่ใช้ในกิจการทหารของสหรัฐฯหมดลง ปากีสถานจึงไม่ต่อสัญญาให้ แต่ในสงครามครั้งนี้ ปากีสถานได้แรงสนับสนุนทางการเมืองจากอิหร่าน ตุรกี อินโดนีเซีย และจีน
ฝ่ายอินเดียก็มีเรื่องน่าน้อยใจเหมือนกัน เพราะตัวเองมีเพื่อนสนิทชื่อว่า สหภาพโซเวียต ทว่า พอถึงคราวรบรันพันตู อ้าว โซเวียตก็ประกาศตัวเป็นกลาง แถมยังแนะนำให้อินเดียกับปากีสถานไปตกลงกันเสียอีก
เมื่อถูกทั้งสหรัฐฯและโซเวียตลอยแพ อินเดียกับปากีสถานก็จึงต้องไปลงนามในปฏิญญาทาชเคนต์ เมื่อ 4 มกราคม 1966 ในปฏิญญาบังคับให้ทั้งอินเดียและปากีสถานคงสภาพก่อนเกิดสงคราม หมายถึง การรบครั้งนี้ ยึดดินแดนใดได้ก็ต้องคืนให้กัน พอเจรจาเสร็จ นายกฯ ศาสตรีของอินเดียก็หัวใจวายตาย
การถอนทหารทำกันอย่างวุ่นวายขายปลาช่อน ภายในเวลาเดือนเศษ อินเดียบอกว่าปากีสถานละเมิดข้อตกลง 585 ครั้ง ปากีสถานฟ้องโลกว่าอินเดียต่างหากที่ละเมิดข้อตกลงมากถึง 450 ครั้ง
สมัยก่อนปากีสถานมีทั้งปากีสถานตะวันออกและตะวันตก ปากีสถานตะวันออกคือบังกลาเทศ ปากีสถานตะวันตกคือ ปากีสถานปัจจุบัน อินเดียกับปากีสถานก็รบกันอีกรอบในสงครามปลดปล่อยบังกลาเทศ พรุ่งนี้มาว่ากันต่อครับ.
นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com
ข่าวเพิ่มเติม