กลายเป็นภาพที่คุ้นตากันแล้ว สำหรับสถานการณ์การประท้วงในเกาะฮ่องกง ที่เริ่มมาจากการต่อต้านกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปจีน ก่อนยกระดับกลายเป็นกดดันให้ผู้นำแคร์รี แลม ลาออก
ซึ่งช่วง 10-11 ส.ค.ที่ผ่านมา ก็ถือเป็นการชุมนุมสัปดาห์ที่ 10 ไปแล้ว แต่ดูเหมือนเป้าหมายยังคงห่างไกล ผู้นำแลมประกาศไม่ยอมถอย ขณะที่รัฐบาลจีนก็ลั่นวาจาหนุนหลังผู้นำและตำรวจฮ่องกง
จึงไม่แปลกที่ผู้ชุมนุมต้องหาทางกดดันรัฐบาลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่ผ่านไปแล้วก็มีทั้งการปิดถนน ปิดกั้นรางและการสัญจรรถไฟ รวมไปถึงนัดชุมนุมที่สนามบิน กระนั้นผลที่ตามมาคือการเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ปราบจลาจล จนเกิดการยิงแก๊สน้ำตาแทบทุกครั้งไป
แก๊สน้ำตาถือเป็นอาวุธเคมีสำหรับควบคุมฝูงชน ที่ใช้กันแพร่หลายทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย โดยเป็นสารที่จะสร้างความระคายเคืองแก่เนื้อเยื่อในตา จมูก ปาก และปอด ส่งผลให้เกิดอาการน้ำตาไหล ไอจาม จนถึงขั้นหายใจลำบาก มองไม่เห็นไปชั่วขณะ
การถูกตัดประสาทสัมผัสเยี่ยงนี้ จึงยากยิ่งที่จะทำอะไรต่อไปได้ แถมบางรายเกิดอาการระคายเคืองทางผิวหนังเพิ่มเติม หรือต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลสำหรับคนที่เป็นโรคทางเดินหายใจ ไม่รวมถึงอันตรายของแรงปะทะจากการถูกกระสุนแก๊สน้ำตายิงใส่ตรงๆ
อย่างไรก็ตาม จากการเผชิญหน้ากันมาเป็นระยะเวลากว่า 2 เดือน ได้ทำให้ผู้ชุมนุมปรับตัวตามสถานการณ์ โดยมีรายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศว่า ม็อบต้านรัฐบาลได้มีการจัดตั้ง “ชุดเฉพาะกิจ” สำหรับรับมือกับแก๊สน้ำตาของเจ้าหน้าที่หน่วยปราบจลาจล
ฟังแล้วอาจนึกว่าอุปกรณ์แพงเต็มตัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ใช้เพียงแค่ของที่หาซื้อได้ทั่วไป เช่น ถุงมือทำครัวสำหรับหยิบกระสุน แก๊สน้ำตาร้อนๆขว้างกลับ กรวยจราจรสำหรับครอบกระสุน และเทน้ำดับควันผ่านรูด้านบน หรือรายงานจากย่านวองไทซิน ที่ผู้ประท้วงมีการใช้ฝาครอบกระทะ
...
ไปจนถึงแว่นว่ายน้ำสำหรับสู้สเปรย์พริกไทย หน้ากาก 3M ขวดน้ำเกลือไว้ล้างสารเคมี พลาสติกแร็ปห่ออาหารมาพันตามร่างกาย เพื่อป้องกันผิวหนังระคายเคือง จึงไม่แปลกเลยที่จะมีข่าวว่าในวันเดียว เจ้าหน้าที่ต้องผลาญแก๊สน้ำตากว่า 800 ลูก.
ตุ๊ ปากเกร็ด