(ภาพ) ต้นตำรับ – ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ผู้ทำให้ศัพท์คำว่า “Fake News” ฮิตไปทั่วโลก เมื่อเขามักโจมตีสื่อมวลชนที่วิพากษ์วิจารณ์หรือโจมตีตนเองว่าเป็นพวกปล่อยข่าวลวงข่าวปลอม หรือ Fake News แต่เจ้าตัวกลับเป็นผู้แพร่ข่าวลวงเสียเอง (รอยเตอร์)


ในโลกยุคดิจิทัล ซึ่งอินเตอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียครองโลก ปัญหาข่าวลวงหรือข่าวปลอม (Fake News) เป็นความท้าทายอันใหญ่หลวง ซึ่งทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อกระแสหลัก ไปจนถึงภาคการศึกษา โดยเฉพาะสาขาวิชา “วารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน” (Journalism) พยายามหาทางแก้อย่างยากลำบาก

เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา มีการประชุม “สภาการศึกษาวารสารศาสตร์โลก” (World Journalism Education Congress) นาน 3 วันที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ภายใต้หัวข้อ “การสอนวารสารศาสตร์ในยุคดิสรัปชัน” (Teaching Journalism During a Disruptive Age)

การประชุมครั้งนี้มีผู้เชี่ยวชาญ นักการศึกษา และนักวิจัยกว่า 600 คนจาก 70 ประเทศเข้าร่วม ไล่ตั้งแต่สหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน รัสเซีย ไปจนถึงบังกลาเทศ ยูกันดา กานา ฯลฯ เพื่อหาวิธีต่อสู้ Fake News

ที่ประชุมมีการระดมสมอง แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกันอย่างกว้างขวางเข้มข้นในทุกมิติ และเห็นตรงกันว่า ทุกประเทศเผชิญความท้าทายอันเดียวกัน ต่างกันที่รายละเอียดเท่านั้น

นางกิฟตี แอพเพียห์-แอดเจอี จากมหาวิทยาลัยการศึกษากานา ประเทศกานา เผยต่อสำนักข่าวเอเอฟพีว่า มูลเหตุจูงใจในการผลิต Fake News มีหลากหลาย ทั้งมีจุดประสงค์ทางการเมือง หรือ สร้างข่าวลวงข่าวปลอมเพื่อสร้าง “ยอดวิว” มากๆ เพื่อผลประโยชน์ทางการเงิน ไปจนถึงเพื่อความสนุกสะใจเท่านั้น!

...

เธอชี้ด้วยว่า การศึกษาวารสารศาสตร์ในมิติใหม่ คือวิถีทางที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการต่อสู้กับปัญหา Fake News แม้วิธีการตรวจจับและสู้ Fake News แทบไม่มีการสอนเป็นหลักสูตรเดี่ยวๆในภาควิชาวารสารศาสตร์ของมหาวิทยาลัยใดๆ จนกระทั่งเมื่อเร็วๆนี้

นางคามิลลา นิกมาตุลลินา ศาสตราจารย์อาวุโสแห่งมหาวิทยาลัยรัฐเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์กในรัสเซีย เผยว่า การตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลข่าวสารมักเป็นแค่ส่วนหนึ่งในหลักสูตรวิชาวารสาร– ศาสตร์เท่านั้น แต่ในยุคนี้ข่าวลวงข่าวปลอม รวมทั้งวิดีโอและรูปภาพปลอมทวีความสลับซับซ้อน จึงจำเป็นต้องมีวิธีการต่อสู้ใหม่ๆด้วย มิฉะนั้นไม่มีทางจับได้ไล่ทัน Fake News ได้เลย

นิกมาตุลลินายังเสนอแนวคิดน่าสนใจว่าการต่อสู้กับ Fake News โดยใช้ “เทคโนโลยี” รวมทั้งปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) เป็นหลักนั้นไม่ใช่ทางออก และไม่จำเป็นต้องพัฒนาหลักสูตรใหม่เพื่อต่อสู้ Fake News แต่ภาควิชาวารสารศาสตร์ควรร่วมมือกับภาควิชาอื่นๆ ในการวิจัยอย่างครบวงจร เพื่อให้เข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้งถึงรากเหง้า ตัวอย่างเช่น ร่วมมือกับภาควิชา “ประสาทวิทยา” เพื่อวิจัยว่าเหตุใดผู้คนจึงตัดสินใจแชร์ข้อมูลข่าวสารบางอย่าง

ส่วนเป่ยฉิน เฉิน ศาสตราจารย์ภาควิชาวารสารศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยนานาชาติศึกษาเซี่ยงไฮ้ เผยว่า แม้แต่ในจีนซึ่งรัฐบาลควบคุมสื่อสุดเข้มงวดโดยเปิดเผย ก็ยังมีปัญหาเช่นเดียวกัน โดย Fake News แทรกซึมเข้าไปในสื่อดั้งเดิมผ่านทางโซเชียลมีเดียอย่าง “เหว่ยป๋อ” และ “วีแชต” หรือโซเชียลมีเดียอื่นๆได้

เหยื่อข่าวปลอม  –  นางแนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ พรรคเดโมแครต หนึ่งในผู้ตกเป็นเหยื่อ Fake News ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (เอเอฟพี)
เหยื่อข่าวปลอม – นางแนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ พรรคเดโมแครต หนึ่งในผู้ตกเป็นเหยื่อ Fake News ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (เอเอฟพี)

ตัวอย่างเช่น เมื่อมีใครโพสต์ Fake News ลงในเหว่ยป๋อ บ่อยครั้งที่มันถูกโพสต์ซ้ำโดยบัญชีผู้ใช้ของหนังสือพิมพ์กระแสหลักในเหว่ยป๋อโดยไม่รู้ว่าเป็นข่าวปลอม จากนั้นสื่อกระแสหลักอื่นๆ ก็จะนำ Fake News นี้ไปโพสต์ต่อๆกัน ดังนั้น สื่อกระแสหลักจึงมีบทบาทสำคัญที่สุดในการยืนยันและเผยแพร่ Fake News ในจีน

ศ.เป่ยฉิน เฉิน เผยด้วยว่า ภาควิชาวารสารศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่างๆของจีน มีหลักสูตรสอนการตรวจเช็กความจริงของข้อมูลข่าวสารอยู่บ้างแต่เนื้อหาสาระทางวิชาการที่เรียนกันอยู่ในปัจจุบันนั้นมักมีพื้นฐานจากการวิจัยของประเทศอื่นๆ ดังนั้นจีนยังต้องพัฒนาหลักสูตรต่อสู้ Fake News ของตัวเองอีกมาก

ส่วนสหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งพยายามต่อสู้กับ Fake News อย่างจริงจัง “สมาคมฝึกอบรม วารสารศาสตร์แห่งยุโรป” (EJTA) ก็จัดโครงการให้นักศึกษาภาควิชาวารสารศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเกือบ 20 แห่งใน 13 ประเทศเข้าร่วมการวิจัยตรวจสอบความจริงของบทความต่างๆในช่วงก่อนการเลือกตั้งอียูที่ผ่านมา

นาเดีย วิสเซอร์ส จากมหาวิทยาลัยอาร์เทซิส แพลนทิจน์ ในเบลเยียม ผู้จัดการโครงการนี้เผยว่า เป้าหมายหนึ่งก็คือให้นักศึกษาแยกแยะความแตกต่างระหว่าง “Misinformation” (ข้อมูลผิดที่ถูกเผยแพร่โดยไม่มีเจตนาสร้างความเสียหาย) กับ “Disinformation” (ข้อมูลผิดที่ถูกเผยแพร่โดยมีเจตนาโกหกและเพื่อให้มีอิทธิพลต่อผู้คน)

ผลการวิจัยนี้ในเรื่องผู้อพยพ สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง และเบร็กซิต สามารถจัดระดับข้อมูลข่าวสารที่ผิดได้เป็น “ส่วนใหญ่จริง”,“ส่วนใหญ่ผิด”, “ผิด” และ “ไม่สามารถตรวจสอบได้” แต่โครงการนี้มีงบประมาณน้อยมาก เพราะปฏิเสธที่จะรับเงินสนับสนุนจากโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่อย่าง “เฟซบุ๊ก” หรือ “กูเกิล” ที่ถูกโจมตีว่าไม่ควบคุม Fake News เท่าที่ควร เพราะมีผลประโยชน์ด้านการเงินการค้ามหาศาล

...

จะว่าไปแล้ว ผู้ที่ทำให้วลี “Fake News” โด่งดังไปทั่วโลกคนแรกๆ ก็คือประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ซึ่งมักด่าคู่อริทางการเมืองและสื่อที่โจมตีตนว่าเป็น Fake News แต่เขาก็เผยแพร่ Fake News เสียเอง

รวมทั้งเมื่อเดือน พ.ค.ปีนี้ ทรัมป์รีทวีตวิดีโอปลอมที่ถูกตัดต่อให้เห็นนางแนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนฯ พรรคเดโมแครต คู่อริ พูดจาตะกุกตะกักและพูดคำบางคำผิดๆ โดยทรัมป์ผสมโรงชี้ว่าเธอเป็นคนพูดติดอ่าง ทั้งที่ใครก็รู้ว่าไม่จริง

เมื่อระดับผู้นำโลกเป็นเสียเองอย่างนี้ การแก้ปัญหา Fake News คงยากเอาการ!

บวร โทศรีแก้ว