จริงอยู่ที่พลังงานจากเชื้อเพลิงจากซากดึกดำบรรพ์หรือเชื้อเพลิงฟอสซิล (fossil fuel) เป็นสิ่งที่ช่วยในการพัฒนาเทคโนโลยีหลายด้านในโลกของเราให้ก้าวหน้าทันสมัย มนุษย์มีความสะดวกสบายมากขึ้น แต่พลังงานเหล่านี้ยิ่งใช้ก็ยิ่งหมดไปเรื่อยๆ อีกทั้งยังก่อปัญหาตามมาอย่างที่รู้กันว่าโลกกำลังเผชิญกับภาวะโลกร้อน และพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลก็คือตัวการสำคัญ

ความเห็นจากนักวิทยาศาสตร์มากมายเผยว่า การสิ้นสุดของการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในช่วงกลางศตวรรษนี้เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง หากประเทศต่างๆต้องการบรรลุเป้าหมายตามข้อตกลงปารีส (Paris climate agreement) เพื่อดำเนินการรักษาอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นกว่า 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเปรียบเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม

ในขณะที่มี 195 ประเทศลงนามในข้อตกลงดังกล่าว แต่ใช่ว่าทุกสิ่งจะถูกแก้ไขอย่างทันท่วงที แต่ละพื้นที่ก็มีปัญหาในแบบของตนเอง อย่างในเมืองการ์สไวเลอร์ (Garzweiler) ของเยอรมนี เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ก็มีเหตุการณ์ของกลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสภาพอากาศบุกเข้าไปในเหมืองถ่านหินเปิดเพื่อประท้วงการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล หลังจากสหภาพยุโรปล้มเหลวในการประชุมสุดยอด เพื่อตกลงกันว่าจะทำให้เกิดความเป็นกลางทางคาร์บอนหรือเรียกง่ายๆว่าปลอดก๊าซคาร์บอนภายในปี พ.ศ.2593

ขณะที่ข้อมูลอีกด้านก็ทำให้รู้ว่าการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิลให้กลายมาเป็นพลังงานทดแทนอย่างหมดจดสมบูรณ์ได้ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จากรายงานตามตัวเลขของรัฐบาลเยอรมนีเผยว่า ในปี 2561 ประเทศมีพลังงานหมุนเวียน 40% ของปริมาณการใช้ไฟฟ้า และตัวเลขล่าสุดของปีนี้เผยว่า การผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานชีวมวล และไฟฟ้าพลังน้ำ คิดเป็นสัดส่วน 47.3% ของการผลิตไฟฟ้าของประเทศในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 ส่วนอีก 43.4% มาจากโรงไฟฟ้าถ่านหินและพลังงานนิวเคลียร์

...

แม้ว่าจะมีข้อทักท้วงจากนักวิทยาศาสตร์บางคนว่าผลผลิตพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นนั้น เป็นไปตามรูปแบบของสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยและการขับเคลื่อนทางการตลาด

ทว่าตัวเลข 47.3% ของพลังงานหมุนเวียนก็เรียกได้ว่าให้ผลผลิตเกือบครึ่งหนึ่งของประเทศเลยทีเดียว.

ภัค เศารยะ