“สงครามการค้า” ระหว่างสหรัฐฯกับจีน นอกจากจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของทั้ง 2 ฝ่าย และทั้งโลก ยังกระทบไปถึงภาคอื่นๆด้วย ไม่เว้นแม้แต่ภาค “การศึกษา” ซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรด้วย!
ชาวจีนนิยมส่งลูกหลานไปเรียนที่สหรัฐฯ มายาวนาน ปีที่แล้วมีนักศึกษาจีนไปเรียนมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯราว 360,000 คน ส่วนใหญ่ไปเรียนสาขาวิชาที่มีชื่อย่อรวมกันว่า “STEM” (Science, Technology, Engineering และ Mathematics หรือวิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์)
นักศึกษาจีนมีอัตราส่วนมากที่สุดถึง 1 ใน 3 ของนักศึกษาชาวต่างชาติทั้งหมดที่เข้าไปเรียนในสหรัฐฯ แต่ละปีอัดฉีดเงินเข้าเศรษฐกิจสหรัฐฯมหาศาลถึง 13,000 ล้านดอลลาร์ (416,000 ล้านบาท) ส่วนสถาบันการศึกษายอดนิยม รวมทั้งมหาวิทยาลัยเยล, สแตมฟอร์ด และสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเสตต์ (เอ็มไอที)
แต่สงครามการค้าทำให้นักศึกษาจีนในสหรัฐฯเริ่มลดลง 2% ตั้งแต่เดือน มี.ค.ปีนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี เพราะนักศึกษาและผู้ปกครองไม่มั่นใจว่าไปเรียนแล้วจะจบหรือไม่ ปลอดภัยหรือไม่ หรือถูกกีดกันตัดออกจากโครงการวิจัยต่างๆหรือไม่ ซึ่งจะทำให้การวางแผนทำโครงการวิจัยระยะยาวของนักศึกษาทำได้ยาก
นอกจากนี้ การขอต่อวีซ่านักศึกษายังทำได้ยากขึ้นและอายุวีซ่าก็สั้นลง ตั้งแต่รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ลดอายุวีซ่านักศึกษาต่างชาติสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจาก 5 ปีเหลือแค่ 1 ปีในบางกรณีตั้งแต่กลางปีที่แล้ว
เวลานี้ นักศึกษาจีนจึงมองหา “ทางเลือกใหม่” มากขึ้นเรื่อยๆ โดยหันไปสมัครเรียนในประเทศคู่แข่งของสหรัฐฯ ทั้งอังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไปจนถึงหลายประเทศในยุโรป
ตามปกติผู้ปกครองนักศึกษาชาวจีนเริ่มวางแผนส่งลูกหลานไปเรียนมหาวิทยาลัยในต่างประเทศแต่เนิ่นๆ ล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 ปีก่อนถึงเส้นตายส่งใบสมัครเข้าเรียน แต่หลังเกิดสงครามการค้า การวางแผนส่งลูกหลานไปเรียนที่สหรัฐฯต้องชะงักงัน และอาจส่งผลต่อเนื่องไปนานหลายปี
...
การที่นักศึกษาจีนหนีไปเรียนประเทศอื่น นอกจากจะทำให้สหรัฐฯสูญเสียรายได้มหาศาล ความสัมพันธ์ “คอนเนกชัน” ระหว่างนักศึกษาจีนกับสหรัฐฯ ซึ่งจะเป็น “ชนชั้นผู้นำ” ในอนาคต ยังจะขาดหายไปอย่างน่าเสียดาย!
บวร โทศรีแก้ว