ธรรมชาติของสหรัฐฯ ถ้าชาติไหนยอมก็จะข่มเหงกดขี่และรังแกไม่มีที่สิ้นสุด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ระบอบของซัดดัม ฮุสเซน ที่ยอมสหรัฐฯเกือบทุกเรื่อง แม้แต่เป็นตัวแทนสหรัฐฯไปรบกับอิหร่านก็เอา อยากจะเข้าไปตรวจอาวุธเคมีชีวภาพก็ยอมให้เข้าไปเป็นร้อยครั้ง พอรู้ว่าอิรักไม่มี อ่อนแอ สหรัฐฯก็บุกอิรักเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2546

เกาหลีเหนือเป็นประเทศหนึ่งซึ่งไม่ยอมสหรัฐฯ บั้นปลายท้ายที่สุด สหรัฐฯก็ไม่กล้าทำอะไร แถมยังต้องบินไปเจรจากับเกาหลีเหนือที่สิงคโปร์บ้าง เวียดนามบ้าง

จีนสู้สหรัฐฯในสงครามการค้ายิบตา อย่างตาต่อตาฟันต่อฟัน ทรัมป์ตะโกนก้องร้องลั่นทั้งโลกว่าจะซัดจีนให้ม่อยกะรอก จะขึ้นภาษีโน่นนี่นั่นครั้งแล้วครั้งเล่า จีนก็ซัดกลับ จนนักธุรกิจอเมริกันโอดโอยโหยหวน รุมประณามหยามด่าทรัมป์ ว่าที่แกทำน่ะมันโง่ชัดๆ พังทั้งจีน พังทั้งสหรัฐฯ

สหรัฐฯกล่าวหาว่าจีนขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯมานานหลายปี แถมยังบังคับให้บริษัทอเมริกันต้องแชร์ความลับทางธุรกิจกับหุ้นส่วนเมื่อไปลงทุนในสาธารณรัฐประชาชนจีน สหรัฐฯด่าจีนว่าใช้นโยบายอุดหนุนรัฐวิสาหกิจ ทำให้วิสาหกิจของจีนได้เปรียบวิสาหกิจจากประเทศอื่น และอีกบานเบอะเยอะแยะที่สหรัฐฯกล่าวหาจีน

รัฐบาลสหรัฐฯขึ้นภาษีศุลกากรสินค้าจากจีนจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 25 จีนก็ตอบโต้ในแบบเดียวกัน ทรัมป์ประกาศว่าหัวเว่ยเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและห้ามบริษัทอเมริกันขายชิ้นส่วนอุปกรณ์หรือถ่ายโอนเทคโนโลยีให้หัวเว่ย จีนก็ซัดบริษัทอเมริกันมากมายหลายแห่งที่ไปลงทุนในประเทศจีนในลักษณะเดียวกัน

เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมโดนรังแกฟรี ธรรมชาติของสหรัฐฯก็จะอ่อน รัฐบาลสหรัฐฯจึงเสียงอ่อยว่าจะระงับการขึ้นภาษีศุลกากรระลอกใหม่ แถมยังบอกว่าการเจรจาระหว่างสหรัฐฯกับจีนจะกลับมาสู่ภาวะปกติ หลังจากที่สหรัฐฯหยุดเจรจาไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2562 โดยกล่าวหาว่า จีนบิดพลิ้วสัญญาที่ได้ตกลงไปแล้วก่อนหน้านี้

...

ภาพที่เราทุกคนเห็นที่เพิ่งถ่ายเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2562 ก่อนเริ่มต้นการหารือทวิภาคีสหรัฐฯ-จีนนอกรอบในการประชุมซัมมิตจี 20 ที่นครโอซากาของญี่ปุ่นก็คือ นายทรัมป์จับมือกับนายสี โดยนายทรัมป์เอียงกายเข้าไปแทบจะแนบสนิทชิดกับนายสี ขณะที่นายสียืนตัวตรงเม้มปาก เหมือนกับจะบอกว่าข้านึกแล้วว่าเอ็งต้องอ่อน ถ้าข้าไม่ยอมเอ็ง

นอกจากนโยบายการต่างประเทศที่รัฐบาลจีนใช้สู้กับสหรัฐฯและประเทศอื่นอย่างตาต่อตาฟันต่อฟันแล้ว จีนก็พัฒนาแสนยานุภาพของกองทัพอย่างมุ่งมั่น ไม่ว่าจะเป็นกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ กองทัพจรวด และกองทัพสนับสนุนยุทธศาสตร์

กองทัพสนับสนุนยุทธศาสตร์ที่จีนใช้ภาษาอังกฤษว่า Strategic Support Force เป็นกองทัพเหล่าที่ 5 ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ.2558 โดยสี จิ้นผิง ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการทหารส่วนกลาง กองทัพนี้จีนไม่ค่อยเปิดเผยดอกครับ เป็นกองทัพที่สหรัฐฯและตะวันตกชาติอื่นกลัวมาก คนที่ทำงานในหน่วยนี้จะเก่งในเรื่องการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศชั้นสูง ซัดกับสหรัฐฯได้ในสงครามอวกาศ สงครามไซเบอร์ และสงครามพลังแม่เหล็กไฟฟ้า เท่าที่ทราบ กองทัพนี้สามารถป้องกันอาวุธนิวเคลียร์อย่างมีประสิทธิภาพหากโดนสหรัฐฯโจมตีได้แล้ว

จีนเป็นตัวอย่างของประเทศที่เตรียมความพร้อมของตนเพื่อรับการโจมตีจากประเทศอื่นอย่างเข้มแข็ง ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีด้านการค้าหรือการเมืองระหว่างประเทศ แต่ในเรื่องการใช้กำลังทหารของจริงนั้น ผมเคยเห็นจีนใช้ทำสงครามกับอินเดียเมื่อ พ.ศ.2505 และกับเวียดนามเมื่อ พ.ศ.2522 เท่านั้น จีนจึงเป็นประเทศที่เตรียมพร้อมเพื่อให้ชาติอื่นเกรงมากกว่าที่จะปฏิบัติการด้วยกำลังกับประเทศอื่นจริงๆ ไม่เหมือนกับสหรัฐฯที่ยุ่งรุงรังไปหมดทั้งโลก ส่งกองกำลังเข้าไปในประเทศโน้นชาตินี้ แพ้บ้าง ชนะบ้าง แต่ของจีนนั้น เมื่อรบกับใคร ไม่เคยแพ้

เรื่องสงครามการค้าก็เป็นอย่างที่พวกเราทำนายทายทักกันมาก่อนทุกอย่างนะครับ ว่าสุดท้ายสหรัฐฯเองนั่นแหละจะเป็นฝ่ายกลืนน้ำลายตัวเอง การกลับไปกลับมา ทำให้สหรัฐฯเสียความน่าเชื่อถือในโลก ผู้ชนะที่แท้จริงคือจีน ที่ยืนได้อย่างมั่นคง ไม่โอนไปเอียงมาตามคำขู่.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com