พวกนิยมเจ้าที่เรียกว่า “รัสเซียขาว” ยึดเมืองซาริตซินเมื่อ ค.ศ. 1919 ยึดได้นาน 3 เดือน สตาลินซึ่งอยู่ฝ่ายกองทัพแดงที่ไม่เอาซาร์นำกำลังไปยึดคืนมาได้ เมื่อรัฐบาลโซเวียตชนะสงครามกลางเมืองเด็ดขาดจึงเปลี่ยนชื่อเมืองเพื่อเป็นเกียรติแก่สตาลินว่า “สตาลินกราด”

ช่วงที่เป็นผู้นำโซเวียตอยู่ 25 ปี สตาลินมุ่งมั่นพัฒนาสตาลินกราดมาก เมื่อสตาลินตาย ผู้นำคนต่อมาของโซเวียตที่ชื่อนีกีตา ครุชชอฟ มีนโยบายล้มล้างอิทธิพลสตาลิน เมื่อ ค.ศ.1961 ครุชชอฟสั่งให้เปลี่ยนชื่อเมืองสตาลินกราดเป็น “โวลโกกราด” และก็ใช้ชื่อนี้จนถึงปัจจุบัน

เยอรมนีแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนหนึ่งเพราะการรบที่เมืองสตาลินกราดซึ่งเป็นสงครามระหว่างฮิตเลอร์กับสตาลินฮิตเลอร์คิดว่าถ้ายึดสตาลินกราดได้ ขวัญกำลังใจของทหารและประชาชนโซเวียตก็จะแย่ ถ้าไม่มีขวัญกำลังใจแล้วก็ไม่สามารถรบป้องกันประเทศได้ ส่วนสตาลินคิดว่า สตาลินกราดเป็นเมืองแห่งเกียรติยศของตน จึงต้องทุ่มเทการป้องกันอย่างมากที่สุด

ยุทธการสตาลินกราดจึงเป็นการรบที่นองเลือดมากที่สุดในประวัติศาสตร์การสงคราม เพราะทั้งผู้นำโซเวียตและเยอรมนี ต่างไม่สนใจชีวิตทหารและพลเรือนของตัวเอง

คนตะวันออกที่ประสบความสำเร็จในชีวิตและการทำงาน มักจะผ่านการอ่านวรรณกรรมสามก๊ก ซึ่งวรรณกรรมนี้มียุทธการที่เมืองต่างๆ มีคำสอนในพิชัยสงคราม ทั้งด้านการบริหาร การเป็นผู้นำ การตัดสินใจ การครองตน ครองคน และครองงาน ครบทุกอย่าง ส่วนพวกฝรั่งมังค่าที่อยากจะเรียนหลักการบริหารและเรียนรู้เรื่องการตัดสินใจ ก็มักจะผ่านการอ่านยุทธการสตาลินกราด

เยอรมนีแพ้โซเวียตเพราะการตัดสินใจที่ไม่ขาดของฮิตเลอร์ ค.ศ.1942 กองทัพที่ 6 และกองทัพยานเกราะที่ 4 ของเยอรมนีบุกไปจนถึงแม่น้ำวอลกาเพื่อจะต่อไปยังเมืองสตาลินกราดได้อย่างราบรื่น แต่ฮิตเลอร์ดันออกคำสั่งให้กองทัพยานเกราะที่ 4 เปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้าลงใต้เพื่อไปตีเมืองรอสตอฟ ทำให้กองกำลังที่จะไปยึดสตาลินกราดเสียกระบวน

...

ฝ่ายเสนาธิการซึ่งจบจากโรงเรียนนายร้อยทัดทานความคิดของฮิตเลอร์ แต่ฮิตเลอร์ซึ่งเป็นผู้นำที่มีพื้นฐานการทหารเพียงแค่สิบโทไม่ฟัง กองกำลังเยอรมันจึงเขวไป 2 สัปดาห์ ต่อมาฮิตเลอร์เปลี่ยนคำสั่งอีกแล้ว เปลี่ยนให้กองทัพยานเกราะที่ 4 กลับไปช่วยกองทัพที่ 6 การเปลี่ยนคำสั่งบ่อยๆ ทำให้ทหารทำงานกันอย่างไม่มีจุดหมายที่แน่นอน

เมื่อบุกไปถึงสตาลินกราด เยอรมนีก็ทั้งยิงปืนใหญ่ ทั้งทิ้งระเบิดทางอากาศเพื่อทำลายเมือง โชคดีที่การวิศวกรรมโยธาของโซเวียตก้าวหน้า อาคารและตึกต่างๆสร้างด้วยคอนกรีตสมัยใหม่ แม้อาคารจะพังแต่โครงสร้างที่ยังอยู่ได้กลายเป็นป้อมปราการให้ทหารและประชาชนโซเวียตซ่อนตัวอยู่ในทุกตรอกซอกมุม ทหารเยอรมันรายงานความยากลำบากของการรบไปถึงฮิตเลอร์ว่า อ้า ขณะนี้เราเผชิญกับ War of the rats “สงครามหนู” พวกโซเวียตรบแบบกองโจร และลอบยิงพวกเราจากซากปรักหักพัง แถมยังโยน Molotov Cocktail “ระเบิดขวด” ลงมาใส่พวกเราตลอด

เยอรมนียึดสตาลินกราดได้มากกว่า 90% แต่ทหารเยอรมันเดินเหินอย่างเสรีไม่ได้ เพราะทหารและประชาชนโซเวียตที่ซ่อนตัวอยู่ในซากปรักหักพังทำร้ายตลอด ผู้บัญชาการกองทัพที่ 6 ของเยอรมนีต้องบินกลับไปปรึกษาฮิตเลอร์ว่า “เอาไงดี” ฮิตเลอร์สั่งว่ารบต่อไป ไม่ว่าจะสูญเสียเท่าใดก็ตาม เยอรมนีจึงเสริมกำลังและทิ้งระเบิดจนพื้นที่ส่วนใหญ่ของสตาลินกราดกลายเป็นเศษอิฐ การรบเอาล่อเอาเถิดอยู่อย่างนี้จนถึงเดือนตุลาคม อ้าว ความหนาวมาอีกแล้ว

ผมเกรงใจที่จะใช้คอลัมน์นี้เขียนแต่ยุทธการสตาลินกราด ถ้าเขียนโดยละเอียด ต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ ทำให้ไม่ต้องเขียนเรื่องอื่นกันแล้ว โอกาสหน้าขอเรียนรับใช้กันใหม่ครับ.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com