การต่อสู้ระหว่างสุลต่านที่ยึดศาสนา+ความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิออตโตมันกับเคมาล อตาเติร์ก ผู้ไม่ต้องการให้ศาสนามาเกี่ยวดองหนองยุ่งกับการปกครอง เป็นไปอย่างดุเดือดเลือดพล่าน อตาเติร์กคิดว่าถ้าจะล้มระบบเก่าให้ได้ ก็ต้องโค่นกาหลิบอับดุลเมจิต สุดท้าย อตาเติร์กก็ชนะเพราะสามารถเนรเทศกาหลิบออกนอกประเทศได้

เป้าหมายของอตาเติร์กคือ ให้ตุรกีพัฒนาเหมือนโลกตะวันตก อตาเติร์กปฏิรูปภาษาด้วยการให้เลิกใช้ตัวอักษรอาหรับ-เปอร์เซียของออตโตมันโบราณ แล้วประดิษฐ์ตัวอักษรใหม่โดยใช้ตัวอักษรละตินแทน จากนั้นก็ล้างคำศัพท์ภาษาอาหรับหรือเปอร์เซียออกจากภาษาตุรกี อตาเติร์กให้ผู้ชายสวมหมวกแบบตะวันตกแทนการสวมหมวกเฟซหรือโพกผ้าแบบมุสลิม ไม่ชอบให้มีการไว้หนวดเครา การพัฒนาของตุรกีมีมากจนหลายประเทศเอาอย่าง ทั้งอัฟกานิสถาน เปอร์เซีย หรือแม้แต่อียิปต์

อตาเติร์กมองว่าศาสนาเป็นภาระและอุปสรรค แกประกาศห้ามทำบุญหรือซื้อของขวัญไปเคารพหลุมฝังศพของอิหม่ามต่างๆ อตาเติร์กเคยพูดว่า ‘เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่คำพูดของชาวเบดูอินจากศตวรรษที่ 7 สามารถชี้นำรายละเอียดในชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบันได้’ ซึ่งคำพูดนี้ฝ่ายศาสนาต่อต้านมาก อตาเติร์กถึงแก่อสัญกรรมเมื่อ ค.ศ.1938 แต่ก็ยังได้รับการเคารพต่ออีกนาน

ทศวรรษ 1950 ตุรกีต้องรับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ จึงยอมทำตามที่สหรัฐฯสั่งให้ตุรกีมีพรรคการเมืองหลายพรรค การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้พรรครัฐบาลเดิมแพ้ พรรคเดโมแครตซึ่งเป็นพรรคการเมืองใหม่ชนะ แต่เมื่อ ค.ศ.1960 ทหารปฏิวัติและจับนายกรัฐมนตรีขณะนั้นแขวนคอ พอถึง ค.ศ.1971 ทหารก็ปฏิวัติอีก ปฏิวัติแล้วก็ทำงานไม่เป็น ทำให้เงินเฟ้อ ขาดแคลนอาหารและพลังงาน ประชาชนมีแต่หนี้สิน ในมหาวิทยาลัยก็มีแต่การปะทะกันของฝ่ายซ้าย ฝ่ายขวา และฝ่ายศาสนา จนถึง ค.ศ.1980 ทหารก็ปฏิวัติรัฐประหารอีก

...

ตุรกีตกต่ำย่ำแย่เพราะมีปฏิวัติทุก 10 ปี ตุรกีเริ่มมั่นคงเมื่อมีพรรคการเมืองเกิดใหม่ที่ชื่อว่า Motherland Party หรือพรรคมาตุภูมิ พรรคนี้สร้างปาฏิหาริย์ด้านเศรษฐกิจให้ตุรกีด้วยเอาการค้าขายระหว่างประเทศเป็นตัวนำ พรรคนี้นี่ล่ะครับที่เป็นจุดเริ่มที่ทำให้ตุรกีใน ค.ศ.2010 มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 20 ของโลก

ค.ศ.2010 มีขัดแย้งในตุรกีระหว่างกลุ่มอำนาจเก่าที่ยึดโลกวิสัย (ไม่นำศาสนามายุ่งการเมือง) กับกลุ่มอำนาจใหม่ที่กึ่งเคร่งครัดศาสนา ค.ศ.2011 ก็เกิดเหตุการณ์อาหรับสปริง นักศึกษาประชาชนต่อต้านผู้นำในตูนิเซีย อียิปต์ และซีเรีย หลังจากนั้นเป็นต้นมา พรรคการเมืองของนายเออร์โดกันก็ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นพรรคที่ทุ่มเทความศรัทธาให้ศาสนา
อย่างเคร่งครัด

รัฐบาลของเออร์โดกันสร้างสุสานเพิ่มขึ้นถึง 9 พันแห่ง บรรยากาศของประเทศกลับไปยึดนโยบายเหมือนสมัยสุลต่านออตโตมันในอดีต งบประมาณของกระทรวงศาสนาสูงขึ้นมากถึง 2 พันล้านดอลลาร์ใน ค.ศ.2015 การเรียกละหมาดมีการเปิด
เสียงดังไปทั่วทุกแห่ง แม้แต่ตามย่านสถานที่ท่องเที่ยว ค.ศ.2015 ตุรกีมีมัสยิดทั้งประเทศมากถึง 8.5 หมื่นแห่ง เป็นสัดส่วน 1 มัสยิดต่อประชากร 800 คน ซึ่งถือเป็นอัตราส่วนสูงสุดในโลกอิสลาม

มีครูสอนศาสนาชาวตุรกีคนหนึ่งชื่อ นายเฟตุลเลาะห์ กูเลน อาศัยอยู่ไม่ห่างจากสำนักงานใหญ่ซีไอเอในแลงลีย์ รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐฯ คนนี้สอนหลักปรัชญาที่ผสมกับหลักอิสลาม และประชาธิปไตยในแนวทางวิทยาศาสตร์ กูเลนตั้งขบวนการฮิซเม็ต มีแนวทางของกลุ่มที่พัฒนามาจากคำสอนของซาอิด นูรซี ซึ่งมีแนวคิดคนละขั้วกับอตาเติร์ก จนถูกรัฐบาลอตาเติร์กจับกุมอยู่บ่อยๆ

กลุ่มของนายกูเลนที่ยึดถือตามแบบของนายนูรซีไม่ไว้หนวดเครา ไม่แต่งกายตามหลักศาสนา ชอบให้คนศึกษาเล่าเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรียนสายวิทยาศาสตร์ คนจากกลุ่มนี้มักจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับชาวต่างชาติ

ต่อมาจึงเกิดเครือข่ายโรงเรียนขบวนการฮิซเม็ตหรือกูเลนขึ้นทั่วโลก

ในเมืองไทยมีโรงเรียนของขบวนการฮิซเม็ตอยู่ 4 แห่ง.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com 

อ่านข่าวเพิ่มเติม - การเมืองตุรกีอาจเปลี่ยน (1)