(ภาพจาก : AFP)

“แอลจีเรีย” เป็นอีกประเทศที่ “ผู้นำเผด็จการ” แพ้ “พลังประชาชน” กรณีประธานาธิบดีอับเดลอาซิซ บูเตฟลิกา วัย 82 ปี ผู้กุมอำนาจมา 20 ปี ยอมลาออกเมื่อ 2 เม.ย. หลังถูกประชาชนลุกฮือประท้วงขับไล่ตั้งแต่เขาประกาศจะลงชิงเก้าอี้ผู้นำสมัยที่ 5 ทั้งที่สุขภาพย่ำแย่ ล้มป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมองตั้งแต่ปี 2556

บูเตฟลิกาขึ้นกุมอำนาจในปี 2542 โดยมี “กองทัพ” หนุนหลัง เขาตั้งคนของตัวเองกุมตำแหน่งสำคัญๆในกองทัพ รวมทั้งให้ พล.อ.อาห์เหม็ด กาอิด ซาลาห์ เป็น ผบ.ทบ. ก่อนให้ควบตำแหน่ง รมช.กลาโหม เพื่อตกรางวัลที่หนุนตนเองเป็นผู้นำสมัยที่ 4 และช่วยกำจัดหน่วยข่าวกรอง “ดีอาร์เอส” อันทรงอิทธิพลจนได้ชื่อว่าเป็น “รัฐซ้อนรัฐ” บูเตฟลิกายังตั้ง

ซาอิด บูเตฟลิกา น้องชายที่อายุอ่อนกว่าเขา 21 ปีเป็นที่ปรึกษาพิเศษ ทำให้ซาอิดมีอำนาจสูงมากจนถูกมองว่าคือทายาทอำนาจของพี่ชาย ขณะที่พรรค “เอฟแอลเอ็น” ของบูเตฟลิกาและพรรคร่วมรัฐบาล “อาร์เอ็นดี” ก็อยู่ในเงื้อมมือของบูเตฟลิกา ส่วนพรรคฝ่ายค้านต่างๆก็อ่อนแอไม่กล้าท้าทายอำนาจ

หลังบูเตฟลิกาประกาศจะลงชิงเก้าอี้ผู้นำสมัยที่ 5 เมื่อเดือน ก.พ.เป็นต้นมา การประท้วงก็ปะทุขึ้นต่อเนื่อง แกนนำการประท้วงส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ นักกฎหมาย นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญวิชาชีพต่างๆ โดยผู้ประท้วงไม่สนใจให้ฝ่ายค้านช่วยเหลือ และกลุ่มผู้ประท้วงไม่มีผู้นำหรือโฆษกที่เป็นทางการ แม้ช่วงหลังๆนายมุสตาฟา บูชาชี นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน และนายคาริม ทับบู นักการเมืองฝ่ายค้านจะโดดเด่นขึ้นมา

การประท้วงทวีความเข้มข้นขึ้นทุกวัน แต่ “กองทัพ” นิ่งเฉยไม่ใช้กำลังกวาดล้างเพราะกลัวเกิดสงครามกลางเมืองเช่นในอดีต หนำซ้ำ พล.อ.กาอิด ซาลาห์ ผบ.ทบ. ผู้ทรงอำนาจที่ช่วยค้ำจุนบูเตฟลิกามาตลอดก็ฉวยโอกาส “ตีจาก” กดดันให้บูเตฟลิกาสละอำนาจ โดยชี้ว่าเขาป่วยจนไร้ความสามารถเป็นผู้นำประเทศแล้ว

...

นายทหารอื่นๆ และกลุ่มชนชั้นสูงที่เคยจงรักภักดีก็ทยอยตีจากจนบูเตฟลิกายอมลาออกในที่สุด แต่ผู้ประท้วงไม่หยุดแค่นั้น เดินหน้าเรียกร้องให้มีการปฏิรูประบอบการเมืองเก่าที่เน่าเฟะทั้งหมด

นับเป็นชัยชนะอันงดงามของ “พลังประชาชน” อันบริสุทธิ์ แต่น่าเป็นห่วงว่าการเปลี่ยนถ่ายอำนาจจะราบรื่นหรือไม่ และอาจมี “มหาอำนาจต่างชาติ” ฉวยโอกาสแทรกแซง!

บวร โทศรีแก้ว