วันนี้ผมชวนท่านผู้อ่านหนี การเมืองน้ำเน่าย้อนยุค ไปคุยเรื่องประเทืองปัญญากันดีกว่านะครับ เป็นเนื้อหาการบรรยายของ แจ็ค หม่า มหาเศรษฐีอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่จีน “อาลีบาบา” ซึ่งได้รับเชิญจาก โรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยท์สหรัฐฯ ไปบรรยายในหัวข้อ “อะไรคือความเป็นผู้นำ” ก็ไม่รู้ว่า กองทัพสหรัฐฯ เกิดเบื่อหน่ายผู้นำอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ จนทนไม่ไหวหรืออย่างไร จึงให้เชิญ แจ็ค หม่า มหาเศรษฐีคอมมิวนิสต์จีน ไปบรรยายเรื่อง “ความเป็นผู้นำ” ให้นักเรียนนายร้อยเวสต์พอยท์ฯฟัง
ผมเห็นว่าเนื้อหามีประโยชน์ต่อคนไทยในเวลานี้เช่นกัน จึงนำมาเล่าสู่กันฟัง
แจ็ค หม่า บอกว่า ความเป็นผู้นำ ขึ้นอยู่กับภารกิจและสิ่งที่ทำ คนส่วนใหญ่ต้องเห็นก่อนจึงจะเชื่อ เราต้องสร้างความเชื่อ และทำให้เขาเห็น ยิ่งเราเป็นผู้นำ ยิ่งต้องเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น โลกทุกวันนี้ต้องการ “คนที่มีภาวะผู้นำ” ไม่ใช่เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นคนดีหรือคนเก่ง แต่เป็นผู้นำที่สามารถช่วยให้มนุษยชาติสามารถแก้ไขปัญหาร่วมกันได้ เราต้องทำงานเพื่ออนาคตที่ดีกว่า ด้วยการลงมือสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสิ่งต่างๆ ผู้นำควรเป็นคนที่มองการณ์ไกล มองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น และลงมือทำเพื่อสังคม ผู้บริโภค และประชาชน
แจ็ค หม่า กล่าวถึง คุณสมบัติของผู้นำ ว่า ต้องเป็นคนที่ฉลาดและรอบรู้ คนฉลาด สามารถมีชีวิตที่มีความสุขได้ แต่ คนรอบรู้ สามารถมีชีวิตที่ยืนยาวกว่า เพราะเขาเรียนรู้จากการพ่ายแพ้ ผู้นำต้องมีความกล้าหาญ ผู้นำในปัจจุบันต้องมีความสามารถทั้งในการแข่งขันและการร่วมมือในเวลาเดียวกัน (Co–Competitive) ต่างจากผู้นำในอดีตที่มีเพียงด้านเดียว คือ การแข่งขันอย่างเดียว และ การร่วมมืออย่างเดียว ซึ่งปัจจุบันคนรุ่นใหม่ก็กำลังเป็นอย่างนี้เช่นกัน
...
แจ็ค หม่า กล่าวว่า โลกวันนี้มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก สิ่งที่ผู้นำในโลกปัจจุบันควรต้องมีก็คือ การเข้าใจเทคโนโลยี และปรับตัวตามยุคของเทคโนโลยี ในฐานะผู้นำ คุณต้องคิดมากกว่าคนอื่น การปฏิวัติเทคโนโลยีครั้งแรก ทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 การปฏิวัติเทคโนโลยีครั้งที่สอง ทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนนี้เรากำลังเข้าสู่ การปฏิวัติเทคโนโลยีครั้งที่สาม มันควรเป็น สงครามต่อสู้กับความยากจน โรคระบาด มลพิษ มากกว่า
แจ็ค หม่า เป็นมหาเศรษฐีผู้ประสบความสำเร็จที่เป็นนักพูด มีความรอบรู้รอบด้าน สมกับความเป็นผู้นำของโลกปัจจุบัน ทุกครั้งที่ผมฟัง แจ็ค หม่า พูด ไม่ว่าหัวข้ออะไร มักจะได้ปรัชญาและข้อคิดดีๆในแง่บวกจากเขาทุกครั้ง
ก่อนหน้านี้ แจ็ค หม่า ได้พูดถึงภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่องดัง Green Book ที่ได้รับ รางวัลออสการ์ ในสาขา ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ของปีนี้ว่า เขาดูภาพยนตร์เรื่องนี้ถึง 3 ครั้ง เขารู้สึกว่า โลกของเรายังมีความอบอุ่น หลังจากที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ และคิดว่าจะดูอีกสัก 2-3 ครั้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ อาลีบาบา พิคเจอร์ส ในเครือ อาลีบาบากรุ๊ป เป็นผู้ร่วมสร้างกับฮอลลีวูด
เนื้อหาของภาพยนตร์เรื่อง Green Book เป็นเรื่องราว การเหยียดผิวอย่างรุนแรงในสหรัฐฯ ช่วงปี 1930–1960 สร้างจากชีวประวัติจริงของคนสองคน สมัยนั้นคนผิวสีในสหรัฐฯต้องพกหนังสือชื่อ The Negro Motorist Green Book ต่อมาเรียกย่อๆ ว่า Green Book เป็นหนังสือไกด์บุ๊กที่แนะนำคนผิวสีว่า ที่ไหนมีร้านอาหาร โรงแรม หรือสถานที่ที่ยินดีต้อนรับคนผิวสีบ้าง เพื่อไม่ให้คนผิวสีถูกทำร้ายเมื่อเข้าไปผิดสถานที่
ภาพยนตร์ได้นำเรื่องราวของ โทนี ลิป (ผิวขาว) ชนชั้นแรงงานชาวอิตาเลียนอเมริกันที่จบ ป.6 กับ ดร.ดอน เชอร์ลีย์ (ผิวสี) นักเปียโนชื่อดังชาวแอฟริกันอเมริกันผู้ร่ำรวย เรียนเปียโนมาตั้งแต่ 2 ขวบ พูดได้ 8 ภาษา สองคนมาเจอกันเมื่อ โทนีกำลังหางาน และ ดอนกำลังหาคนขับรถ เพื่อพาเขาออกทัวร์ทางใต้ของสหรัฐฯ ที่มีการเหยียดผิวอย่างรุนแรง
ก็เก็บมุมมองของ แจ็ค หม่า มาฝากเป็นข้อมูลครับ เราจะเลือกผู้นำแบบไหน มาเป็นผู้นำเพื่ออนาคตของเรา.
“ลม เปลี่ยนทิศ”