ล้มเหลว ต่อรองไร้ผล
อย่างที่เคยคาดการณ์ว่าการประชุมซัมมิตครั้ง 2 ระหว่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับ “คิม จองอึน” ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ซึ่งเวียดนามเป็นเจ้าภาพ ไม่น่าจะมีอะไรคืบหน้า
กลายเป็นการประชุมเพื่อประชุมครั้งต่อไปเท่านั้น
แม้บรรยากาศจะเป็นไปอย่างชื่นมื่นท่ามกลางการต้อนรับของเจ้าภาพเป็นอย่างดีและมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด
วันแรกทุกอย่างเป็นไปอย่างดี มีการเจรจาระหว่างตัวต่อตัว และทีมงานทั้ง 2 ฝ่าย เพียงแต่ยังไม่มีการพิจารณารายละเอียดมากนัก
“ทรัมป์” พยายามที่จะใช้โวหารกล่อม “คิม” ด้วยวาทะที่ว่า หากเกาหลีเหนือยุติเรื่องนิวเคลียร์จะกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจได้อย่างที่เวียดนามประสบความสำเร็จ
มีเรื่องหนึ่งที่ผู้นำเกาหลีเหนือยินยอมให้มีการตั้งสำนักประสานงานที่เปียงยาง เพื่อจะประสานงานกันระหว่าง 2 ฝ่าย
หมายถึงการเข้ามาติดตามความเคลื่อนไหวเรื่อง “นุก” นั่นแหละ...
แต่วันที่ 2 ซึ่งน่าจะเป็นการประชุมลงลึกในรายละเอียดอย่างที่มีกำหนดการล่วงหน้าเอาไว้แล้ว
ปรากฏว่าทุกอย่างล่มลงไม่มีการประชุมต่อ ไม่มีการร่วมโต๊ะอาหารร่วมกัน เท่ากับว่ายุติแค่นั้นแล้วต่างก็แยกย้ายกลับบ้าน
โฆษกทำเนียบขาวได้แถลงว่าการที่ต้องยุติการประชุมอย่างกะทันหัน โดยไม่มีประชุมและลงนามใดๆ แต่ก็หวังว่าจะได้เจรจากันครั้งต่อไปในอนาคต
เหตุผลก็เพราะสหรัฐฯเห็นว่าทางผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือไม่ได้ทำการบ้าน เพื่อทำข้อตกลงต่างๆ โดยเฉพาะประเด็นที่สหรัฐฯต้องการให้ยุติเรื่องนิวเคลียร์ทั้งหมด และเปลี่ยนประเทศไปพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศดีกว่า
แต่ผู้นำคิมบอกว่าต้องการให้สหรัฐฯยุติการคว่ำบาตรทั้งหมด
...
นั่นเป็นเหตุที่ทำให้ซัมมิตครั้งที่ 2 ล้มเหลวไม่เป็นท่า ทำให้วงแตกท่ามกลางความงงงวยของผู้สันทัดกรณี
“หลังจากเจรจาในคราวนี้ต้องพบความล้มเหลว จบการประชุมกลางคัน ยกเลิกการร่วมรับประทานอาหารกลางวัน และผู้นำทั้ง 2 ประเทศเดินทางกลับ โดยไม่มีการบรรลุข้อตกลงใดๆ โดยพื้นฐานคือเกาหลีเหนือต้องการให้ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทั้งหมด แต่เราไม่สามารถทำได้ จึงต้องเดินออกจากที่ประชุม”
“ทรัมป์” กล่าวย้ำ...
แต่สหรัฐฯยังคงต้องการที่จะรักษาความสัมพันธ์กับ “คิม”
ซึ่งได้ให้คำมั่นสัญญาว่าเกาหลีเหนือ จะไม่มีการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์หรือขีปนาวุธ
เป็นอันจบภาคที่ 2 ระหว่างสหรัฐฯกับเกาหลีเหนือ
แน่นอนว่าความล้มเหลวครั้งนี้ น่าจะทำให้เกาหลีใต้ผิดหวัง เพราะไม่มีความก้าวหน้าอย่างที่คาดหวังโดยเฉพาะการที่จะให้มีการยอมรับว่าสงครามในคาบสมุทรเกาหลีระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ยุติลงอย่างเด็ดขาด
คงต้องรอการประชุมครั้งต่อไป
สหรัฐฯเองก็คงผิดหวังเช่นกัน แต่อย่างน้อยก็ได้ประโยชน์ในการเข้ามามีอิทธิพลในภูมิภาคด้วยเงื่อนไขทุกฝ่ายยอมรับ
ตามประสาพ่อค้าเก่ายังมีอะไรติดไม้ติดมือกลับไปเมื่อรัฐบาลเวียดนามได้ลงนามตกลงซื้อเครื่องบินโดยสาร “โบอิ้ง” 100 ลำ
และสหรัฐฯยินยอมให้เครื่องบินโดยสารเวียดนามบินตรงไปสู่อเมริกาได้
เพียงแต่ต้องกลับไปสางปัญหาร้อนๆที่กำลังรออยู่.
“สายล่อฟ้า”