จากกรณีของ ชามิมา เบกุม หญิงชาวอังกฤษผู้หนีออกจากประเทศไปเข้าร่วมกับกลุ่มรัฐอิสลาม หรือ ไอซิส ในซีเรียเมื่อหลายปีก่อน ออกมาร้องขอกลับบ้านเกิด กระตุ้นให้คำถามที่มีการพูดถึงมานานกลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งนั่นก็คือ รัฐบาลต่างๆ ควรทำอย่างไรกับนักรบญิฮาดและครอบครัวของพวกเขาที่จะเดินทางกลับมา
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา มีสื่อไปสัมภาษณ์นางเบกุม ซึ่งแต่งงานกับนักรบไอซิสชาวดัตช์และเพิ่งคลอดลูกคนที่ 3 เมื่อไม่นานมานี้ โดยเธอพยายามเรียกร้องขอความเห็นใจจากสังคม แต่กลับไม่ค่อยแสดงความรู้สึกผิดกับความโหดร้ายฝีมือกลุ่มไอซิส เช่นในการสัมภาษณ์เมื่อวันจันทร์ที่ 18 ก.พ. เธอกล่าวว่า เหตุระเบิดที่สนามกีฬาแมนเชสเตอร์ อารีนา ซึ่งทำให้มีคนตายถึง 23 คน เป็นเรื่องชอบธรรมแล้ว เพราะชาติตะวันตกก็โจมตีทางอากาศใส่ดินแดนของไอซิส จนมีคนตายจำนวนมากเช่นกัน
คำพูดของเบกุมทำให้เธอถูกสังคมประณามอย่างหนัก ขณะที่รัฐบาลอังกฤษประกาศทันทีว่าเตรียมถอนสัญชาติอังกฤษของหญิงวัย 19 ปีรายนี้ ขณะที่ครอบครัวของเธอออกมาประกาศจะต่อสู้ทางกฎหมายอย่างเต็มที่ ซึ่งเชื่อได้เลยว่า นี่จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่จะเกิดกรณีแบบนี้กับประเทศต่างๆ ในยุโรป เพราะกลุ่มไอซิสในซีเรียใกล้จะพ่ายแพ้แล้ว จึงมีความเป็นไปได้ว่า นักรบต่างชาติที่มาเข้าร่วมกลุ่มไอซิสและครอบครัวจะเดินทางกลับบ้านเกิดมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วชาติยุโรปจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร?
...
*มีชาวต่างชาติเข้าร่วมกับไอซิสเท่าใด?
ผลวิจัยของศูนย์ระหว่างประเทศเพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางความคิด (ICSR) ระบุว่า มีชาวต่างชาติจาก 80 ประเทศไปเข้าร่วมกลุ่มไอซิสในอิรักและซีเรียกว่า 41,490 คน ระหว่างเดือนเมษายน 2556-มิถุนายน 2561 โดย 75% ในจำนวนนี้เป็นผู้ชาย ขณะที่มีผู้หญิง 13% และเด็กอีก 12% โดยคาดว่ามีเด็กเกิดใหม่จากแม่ชาวต่างชาติที่ไปเข้าร่วมไอซิสอีก 730 คนในช่วงเวลาดังกล่าว
ผลวิจัยยังชี้ว่า ชาวต่างชาติส่วนใหญ่ที่ไปเข้าร่วมไอซิสเป็นชาวตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (ราว 18,852 คน) และมี 5,904 คนที่เป็นชาวตะวันตก มากที่สุดคือชาวฝรั่งเศสมี 1,910 คน เกือบ 2 เท่าของอันดับ 2 อย่างเยอรมนี (960 คน) ส่วนอันดับ 3 คือสหราชอาณาจักรมี 850 คน ขณะที่พบว่าจนถึงเดือนมิถุนายน 2561 มีนักรบต่างชาติเดินทางกลับบ้านเกิดเพียง 7,366 คนเท่านั้น
ปัจจุบัน ไอซิสใกล้ที่จะพ่ายแพ้ต่อกองกำลังกบฏซีเรียที่ได้รับการหนุนหลังจากสหรัฐฯ ดินแดนในครอบครองก็ลดขนาดลงจากจุดสูงสุดที่ใหญ่เกือบเท่าเกาะอังกฤษ เหลือเพียงไม่กี่ร้อยตารางเมตร สมาชิกไอซิสหลายพันคนทั้งผู้หญิงและเด็กรวมทั้งชาวต่างชาติถูกควบคุมตัวเอาไว้ตามพื้นที่ต่างๆ เช่นเดียวกับนางเบกุม และกำลังหวังที่จะได้กลับบ้านเกิด
*ชาติยุโรปลังเลเรื่องรับสาวกไอซิสกลับประเทศ
ในช่วงที่ผ่านมา มีไม่กี่ประเทศรวมถึงรัสเซีย, อินโดนีเซีย, เลบานอน และ ซูดาน ที่อนุญาตให้พลเมืองที่ไปเข้าร่วมกลุ่มไอซิสกลับประเทศได้ สำหรับชาติยุโรป อเล็กซ์ คาร์ไลล์ ทนายและสมาชิกสภาสูงอังกฤษระบุว่า พวกเขาลังเลที่จะรับคนเหล่าที่อาจเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติกลับประเทศ หลังจากเกิดการโจมตีฝีมือกลุ่มไอซิสบ่อยครั้งในยุโรป
เห็นได้จากอังกฤษ แม้ผลวิจัยของสหภาพยุโรปจะชี้ว่า พลเมืองของพวกเขาที่ไปเข้าร่วมกลุ่มไอซิสกลับประเทศแล้วราว 50% แต่ยูเคก็พยายามหาทางเลี่ยงไม่รับพลเมืองกลับประเทศโดยใช้วิธีถอนสัญชาติของชาวอังกฤษที่ถือ 2 สัญชาติ โดยนายซาจิด จาวิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกล่าวในสภาเมื่อวัน 18 ก.พ. ว่า ชาวอังกฤษที่ไปเข้าร่วมกลุ่มไอซิสมากกว่า 100 คนถูกถอนสัญชาติแล้ว
ขณะที่ฝรั่งเศสกำลังพิจารณารับนักรบไอซิสชาวฝรั่งเศสกลับประเทศเพิ่มอีก 130 แต่ก็ทำให้เกิดเสี่ยงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากฝ่ายค้าน ส่วนกระทรวงต่างประเทศเยอรมนีเปิดเผยกับสำนักข่าว ซีเอ็นเอ็นว่า พวกเขากำลังมองหาความเป็นไปที่จะพาชาวเยอรมนีออกจากซีเรีย โดยเฉพาะกรณีที่ต้องได้รับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แต่คนเหล่านี้จะเข้าเยอรมนีได้ก็ต่อเมื่อเรารับปะรกันได้ว่า พวกเขาจะถูกควบคุมตัวในทันที
...
*แล้วกรณีของชามิมา เบกุมล่ะ?
ชามิมา เบกุม ยืนยันว่าเธอถือสัญชาติอังกฤษเพียงสัญชาติเดียว ไม่ได้เป็นชาวบังกลาเทศตามที่ถูกกล่าวหา ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ อังกฤษก็ไม่สามารถถอนสัญชาตินางเบกุมได้ เพราะกฎหมายอังกฤษและกฎหมายระหว่างประเทศห้ามทำให้พลเรือนกลายเป็นบุคคลไร้สัญชาติ
แต่นายฮาชี โมฮาเหม็ด ทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชน ระบุว่า ดูเหมือนนายจาวิดจะพยายามหลบเลี่ยงข้อกำหนดนี้ด้วยการใช้กฎหมายคนเข้าเมืองของสหราชอาณาจักรปี 2014 ที่ระบุว่า สามารถถอนสัญชาติได้หากมีเหตุผลให้เชื่อว่า คนผู้นั้นสามารถกลายเป็นพลเมืองของประเทศหรือดินแดนนอกสหราชอาณาจักร ภายใต้กฎหมายของประเทศหรือดินแดนนั้นๆ ได้
โมฮาเหม็ดเตือนว่า ความเคลื่อนไหวของนายจาวิด เป็นการแก้ปัญหาที่จะก่อให้เกิดความยุ่งยากมากขึ้นกว่าเดิม และเสี่ยงทำให้เกิดปัญหา ‘พลเมืองชั้น 2’ ตามมา
...
*การดำเนินคดีพลเมืองที่ไปเข้าร่วมกลุ่มไอซิส
การดำเนินคดีพลสาวกไอซิสที่เดินทางกลับประเทศต้องเผชิญอุปสรรคหลายอย่าง แต่เรื่องยากที่สุดคือการหาหลักฐานเอาผิดผู้สนับสนุนกลุ่มไอซิส ซึ่งเรื่องนี้มีตัวอย่างให้เห็นแล้วที่สหราชอาณาจักร โดยในปี 2561 รัฐสภายูเคเปิดเผยว่า มีนักรบญิฮาดที่กลับมาอังกฤษเพียง 1 ใน 10 เท่านั้นที่ถูกดำเนินคดีเนื่องจากไม่มีหลักฐาน
สำหรับหลายประเทศ การเดินทางไปยังดินแดนที่กลุ่มไอซิสครอบครองไม่ใช่ความผิด แม้ว่าสหราชอาณาจักรจะผ่านกฎหมายให้การไปพื้นที่ดังกล่าวเป็นเรื่องผิดกฎหมายแล้ว แต่การแต่งงานกับนักรบไอซิสก็ยังไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายอยู่ดี และถึงจะมีกฎหมายห้ามช่วยเหลือหรือสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย การหาหลักฐานเพื่อเอาผิดกรณีแบบนี้ก็เป็นเรื่องยาก
“ด้วยเหตุผลทางกฎหมายต่างๆ สิ่งที่เรียกว่า ‘หลักฐานจากสมรภูมิ’ จะไม่ถูกยอมรับในชั้นศาล ไม่ว่าจะเพราะขาดความน่าเชื่อถือหรือการได้มาซึ่งหลักฐาน ก็เหมือนกับที่เราไม่นำหลักฐานที่ได้จากการดักฟังมาใช้ในศาลอังกฤษ” ชีราซ มาเฮอร์ ผู้อำนวยการ ICSR กล่าว ขณะที่นายคาร์ไลล์ ระบุว่า “ผมเชื่อว่าคงมีข้อมูลข่าวกรองเกี่ยวกับคนพวกนี้มากมาย แต่การนำมาใช้เป็นหลักฐานนั้นเป็นเรื่องยาก”
...
*เจ้าสาวไอซิสเอาผิดยากยิ่งกว่า
ผู้เชี่ยวชาญยังด้วยว่า การดำเนินคดีเจ้าสาวไอซิสที่ไม่ใช่นักรบอย่างนางเบกุมเป็นเรื่องยาก เพราะเจ้าหน้าที่ยังสามารถหาหลักฐานเอานักรบผู้ชายได้จากภาพโฆษณาชวนเชื่อหรือเครือข่ายสังคมออนไลน์ของกลุ่มไอซิส ที่เผยแพร่ภาพความรุนแรงในสนามรบ แต่ผู้หญิงไม่ได้ปรากฏตัวในภาพโฆษณาชวนเชื่อใดๆ เลย
นอกจากนี้ยังมีเรื่องลูกที่เกิดมาอีก โดยจากข้อมูลของ ICSR มีเด็กที่เกิดจากพ่อหรือแม่ชาวยุโรปตะวันตกถึง 566 คน ซึ่งสหภาพยุโรปเคยออกแถลงการณ์เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ชาติสมาชิกจะยอมรับเด็กเหล่านี้และพาพวกเขากลับประเทศ แต่จนถึงตอนนี้ ยังชาติยุโรปส่วนใหญ่ยังไม่ได้ประกาศนโยบายที่แน่ชัดในเรื่องนี้เลย
*ถ้าดำเนินคดีไม่ได้ จะทำอย่างไรต่อ?
เมื่อปี 2560 คณะกรรมาธิการยุโรปเคยออกรายงานเรื่องปัญหาของสาวกไอซิสต่างชาติที่เดินทางกลับประเทศบ้านเกิด โดยพบว่า ลูกของนักรบญิฮาดบางคนอาจกลับไปโดยมีจุดประสงค์ในการทำร้ายชาวยุโรป และแนะนำให้รัฐบาลต่างๆ ใช้วิธีตรวจสอบเป็นรายบุคคล เพื่อหาปัจจัยเสี่ยงเช่น อาการของโรค PTSD, ความเชื่อมโยงกับเครือข่ายก่อการร้ายระหว่างประเทศ และโอกาสที่จะกลายเป็นพวกหัวรุนแรงอีก
คำเตือนนี้หมายความว่า ชาติยุโรปจะต้องติดตามความเคลื่อนไหวของผู้ที่เดินทางกลับมาและไม่ได้ถูกส่งเข้าคุกอย่างใกล้ชิด โดยในอังกฤษอาจใช้วิธีขึ้นบัญชีเฝ้าระวังผู้ก่อการร้าย ซึ่งมีรายชื่ออยู่กว่า 20,000 ราย แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ถูกจับตาดูอย่างละเอียด ภายใต้มาตรการสืบสวนและป้องกันการก่อการร้าย (TPIM) ซึ่งรวมถึงการจำกัดการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, ย้ายที่อยู่ และจำกัดการพบปะผู้คน เป็นเวลาราว 2 ปี
มาตรการอีกอย่างคือ โครงการลดแนวคิดนิยมความรุนแรง (de-radicalization) ที่เน้นป้องกันไม่ให้คนกลายเป็นพวกหัวรุนแรง โดยในอังกฤษมีโครงการที่ชื่อว่า ‘พรีเวนต์’ (Prevent) ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์หลักในการต่อต้านการก่อการร้ายของยูเค แต่กลับถูกชาวมุสลิมในอังกฤษต่อต้านอย่างหนัก เพราะพวกเขามองว่า โครงการนี้ทำให้เกิดบรรยากาศความไม่เชื่อใจในชุมชน
ท่ามกลางกระแสความหวาดกลัวการก่อการร้ายในยุโรป ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่รัฐบาลต่างๆ จะสามารถหาคำตอบที่ถูกต้องในการรับมือกับสาวกไอซิสที่เดินทางกลับมา เนื่องจากพวกเขาต้องทำตามกฎหมายในการช่วยเหลือพลเมืองของประเทศ แต่พวกเขาก็ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้ได้ว่า ผู้ที่เดินทางกลับมาเหล่านี้จะไม่เป็นภัยคุกคาม มิเช่นนั้น ชาวยุโรปคงต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดระแวง เพราะไม่รู้ว่าการโจมตีครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นเมื่อไร.