สหรัฐฯ ตั้งข้อหาอดีตเจ้าหน้าที่หญิง ว่าเป็นสายลับให้อิหร่าน รวมทั้งเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นความลับเพื่อทำลายชาติ...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า อัยการสหรัฐฯ ตั้งข้อหาน.ส. โมนิกา เอลฟรีด วิตต์ อดีตเจ้าหน้าที่ของกองทัพอากาศ และเคยทำงานเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองฝ่ายต่อต้านการสอดแนม (counterintelligence) ของอเมริกา ว่าเธอเป็นสายลับของอิหร่าน และปฏิบัติการสอบแนมเพื่อนเจ้าหน้าที่ในหน่วยข่าวกรอง

ตามการเปิดเผยของอัยการ น.ส.วิตต์ ซึ่งแปรพักตร์ไปเข้ากับอิหร่านในปี 2556 ได้รับสิทธิ์เข้าถึงชั้นความลับของสหรัฐฯ (security clearance) ระดับสูงสุด และทำงานในกองทัพอากาศระหว่างปี 2540 ถึงปี 2551 ก่อนจะถูกส่งไปประจำการในอิหร่านเพื่อเข้าร่วมในปฏิบัติการลับต่อต้ายการข่าวกรอง

อัยการระบุด้วยว่า น.ส.วิตต์เปิดเผยความลับของรัฐบาล รวมถึงรายชื่อเจ้าหน้าที่และเนื้อหาของปฏิบัติการบางอย่าง ให้กับอิหร่านมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2555 ไม่นานหลังจากที่เธอแปรพักตร์ไปเข้ากับอิหร่านแล้ว เธอได้มอบข้อมูลเพื่อนร่วมงานของเธอให้แก่อิหร่านโดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงให้แก่สหรัฐฯ

...

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่สืบสวนยังพบว่า น.ส. วิตต์ส่งข้อความหาผู้ประสานงานชาวอิหร่านในปี 2555 มีเนื้อความว่า “ฉันรักงงานนี้ และฉันกำลังพยายามใช้การฝึกฝนที่ฉันได้รับมาเพื่อทำความดีแทนที่จะทำชั่ว ขอบคุณที่ให้โอกาสนี้กับฉัน”

เจ้าหน้าที่ยังเชื่อว่า น.ส.วิตต์เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดหลังเข้าร่วมการประชุม 2 ครั้ง ที่จัดโดยองค์กร ‘นิว โฮไรซอน ออร์แกไนเซชั่น’ (New Horizon Organization) ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำงานในนามของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน เพื่อรวบรวมข่าวกรองและหาแนวร่วม และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็มีการประชุมที่จัดโดย นิว โฮไรซอน ออร์แกไนเซชั่น เกิดขึ้นในอิหร่านและอิรักหลายครั้ง

ด้านสำนักงานสืบสวนกลาง (เอฟบีไอ) ระบุว่า น.ส.วิตต์หายตัวไประหว่างอยู่ในอิหร่าน ก่อนจะมีประกฏตัวในการแพร่ภาพทางโทรทัศน์ซึ่งเธอประกาศแปรพักตร์และเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม เธอยังออกอากาศทางโทรทัศน์อีกหลายครั้งเพื่อกล่าวโจมตีสหรัฐฯ

ไม่กี่สัปดาห์หลังจากแปรพักตร์ เจ้าหน้าที่พบว่า น.ส.วิตต์เข้าสืบค้นเฟซบุ๊กขอบอดีตเพื่อนร่วมงานของเธอหลายคน และเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของสายลับสหรัฐฯ คนหนึ่ง ทำให้ชีวิตของคนคนนี้ตกอยู่ในอันตราย หลังจากนั้นทางการสหรัฐฯ จึงได้ออกหมายจับน.ส.วิตต์ แต่จนถึงตอนนี้ยังจับกุมไม่ได้ โดยมีการพบเห็นเธอครั้งสุดท้ายในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้เมื่อเดือนกรกฎาคม 2556

ทั้งนี้ อัยการสหรัฐฯ ยังตั้งข้อหาชาวอิหร่านอีก 4 คนฐานพยายามใส่ซอฟแวร์สอดแนมในคอมพิวเตอร์ของเพื่อนร่วมงานของน.ส.วิตต์ด้วย ขณะที่กระทรวงการคลังประกาศคว่ำบาตรองค์กร นิว โฮไรซอน ออร์แกไนเซชั่น และบริษัท ‘เน็ต เพย์การ์ด ซามาวัต’ (Net Peygard Samavat) เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์นี้ด้วย