เปิดฟ้าส่องโลกเคยเขียนเรื่องทรัมป์จะถอนตัวจากไอเอ็นเอฟ มากถึง 3 ตอน ระหว่างวันที่ 26, 29 และ 30 ตุลาคม 2561 ไอเอ็นเอฟเป็นข้อตกลงห้ามการยิงขีปนาวุธพิสัยสั้นและกลางระยะ 500-5,500 กิโลเมตร ทั้งอาวุธนิวเคลียร์และอาวุธที่ไม่มีอานุภาพทำลายล้างสูง แต่ไม่รวมขีปนาวุธที่ยิงมาจากทะเล

ผู้อ่านท่านคงนึกออกนะครับ ว่าเดิมความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพโซเวียตย่ำแย่มานาน ทะเลาะเบาะแว้งกันในยุคสงครามเย็น แล้วก็ลามปามไปจนถึงเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ที่ต่างฝ่ายต่างแข่งกันสะสม

โลกเย็นลงเมื่อมีการลงนามในข้อตกลงไอเอ็นเอฟ และจนถึง พ.ศ.2534 ก็มีการทำลายขีปนาวุธไปมากถึง 2,700 ลูก ผู้อ่านบางท่านอาจจะสงสัยว่า บางประเทศอาจจะหลอกกัน ว่าข้าพเจ้าทำลายแล้วนะ แต่โดยแท้ที่จริงอาจจะมิได้ทำลายก็ได้ เรื่องนี้พ้นข้อสงสัยไปได้เลยครับ เพราะทั้งสหรัฐฯ และโซเวียตต่างก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปตรวจสอบขีปนาวุธซึ่งกันและกัน

ที่สร้างความตระหนกตกใจให้คนทั้งโลกก็คือ เหตุการณ์เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2562 เมื่อนายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ สหรัฐฯ แถลงว่า สหรัฐฯถอนตัวจากการเป็นภาคีของสนธิสัญญาอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางร่วมกับรัสเซียอย่างเป็นทางการ และจะมีผลภายใน 6 เดือน ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายถอน แต่สหรัฐฯก็ไม่วายโยนขี้ให้กับฝ่ายรัสเซีย ว่าเพราะทนพฤติกรรมของรัสเซียไม่ไหว แถมยังบอกอีกว่า สหรัฐฯเตือนรัสเซียมากกว่า 30 ครั้งให้รัสเซียเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าพฤติกรรมอะไร) แต่รัสเซียไม่เปลี่ยน สหรัฐฯจึงจำเป็นต้องถอนตัวจากไอเอ็นเอฟ

สหรัฐฯเป็นพี่เบิ้มใหญ่ในองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต พอสหรัฐฯประกาศถอนปุ๊บ นาโตก็ออกแถลงการณ์สนับสนุนสหรัฐฯทันที แล้วบอกว่ารัสเซียต้องเป็นผู้รับผิดชอบในฐานะเป็นผู้ทำลายสัญญาฉบับนี้ ซึ่งฟังนาโตแถลงแล้วผมก็ว่าบ้าทั้งสหรัฐฯ ทั้งนาโตครับ พวกเอ็งเป็นฝ่ายยกเลิกเพราะคงจะมีแผนที่มองไม่เห็นที่เตรียมใช้ซัดรัสเซีย (และจีน) แต่ก็เอาดีใส่ตัว เอาความชั่วโยนใส่ให้คนอื่น ผู้ที่อ่านหนังสือลวกๆ หรือเสพแค่หัวข้อข่าวก็อาจจะเข้าใจว่ารัสเซียเป็นฝ่ายผิด แต่คนที่อ่านทุกข้อความ โดยละเอียด และติดตามการแถลงข่าวของประเทศต่างๆ ก็จะเข้าใจดีว่านี่มันเป็นเกมการเมืองที่สหรัฐฯ และพันธมิตรสร้างขึ้นมา

...

ผมว่ารัสเซียไม่น่าจะวอรี่อะไรดอกครับ เมื่อสหรัฐฯถอนได้ รัสเซียก็ถอนได้เหมือนกัน ตอนนี้ประธานาธิบดีปูตินประกาศแล้ว ว่านับแต่นี้เป็นต้นไป รัสเซียจะเริ่มพัฒนาขีปนาวุธใหม่ และต่อแต่นี้เป็นต้นไป ผู้อ่านท่านผู้เจริญคอยติดตามเถิดครับ ว่าโลกจะกลับไปร้อนเหมือนก่อนปี พ.ศ.2530 ซึ่งเป็นปีที่สหรัฐฯและสหภาพโซเวียตลงนามร่วมกันเพื่อห้ามทั้ง 2 ประเทศใช้ขีปนาวุธพิสัยกลางและใกล้

โลกจะกลับไปสู่ความยุ่งยากเหมือนเมื่อสมัยที่สหภาพโซเวียตหนุนกองกำลังคิวบาเข้าไปรบในเอธิโอเปียเมื่อ พ.ศ.2521 เพื่อต่อต้านการแบ่งแยกดินแดนของชาวโซมาเลียที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายโอกาเดน เหตุผลที่ผมเอาเรื่องนี้มาเขียนก็เพราะก่อนหน้านี้ โลกเข้าสู่ยุคแห่งการผ่อนคลายความตึงเครียด ที่เราเรียกว่า Detente ซึ่งเกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ.2512-2522 ช่วง 10 ปีนี้ ผู้นำทั้ง 2 ประเทศเจรจากัน มีความร่วมมือที่ดีต่อกัน แต่เหตุการณ์ที่โซเวียตทำ ทำให้ยุคแห่งการผ่อนคลายความตึงเครียดล่มลง แล้วก็กลับมามีปัญหากันใหม่ ประเทศต่างๆที่เป็นตัวแทนของโลกเสรีนิยมกับโลกคอมมิวนิสต์ก็รบราฆ่าฟันกัน

พอพ้น พ.ศ.2522 การรบพุ่งก็เกิดขึ้น มีความกลัวเรื่องการใช้อาวุธนิวเคลียร์พิสัยสั้นและกลาง อีก 8 ปีต่อมาก็จึงมีการลงนามกันของมหาอำนาจทั้ง 2 ประเทศ โลกก็จึงอยู่อย่างสงบในระดับหนึ่งมาจนถึง พ.ศ.2559 เมื่อทรัมป์ชนะเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน คนที่เกี่ยวดองหนองยุ่งกับวงการระหว่างประเทศขั้นลึก รู้เลยว่าทรัมป์จะเลิกไอเอ็นเอฟ เพราะนิสัยทรัมป์เป็นคนก้าวร้าว และคิดจะให้สหรัฐฯสร้างอำนาจขึ้นมาใหม่ด้วยอาวุธนิวเคลียร์

แล้วก็เกิดขึ้นจริงๆครับ.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com