หน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องชัตดาวน์บางส่วนไปจนพ้นวันคริสต์มาสเป็นอย่างน้อย หลังจากฝ่ายรีพับลิกันและเดโมแครต ยังไม่อาจหาข้อตกลงเรื่องงบประมาณสร้างกำแพงกั้นชายแดนของโดนัลด์ ทรัมป์ได้...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ภาวะชัตดาวน์ หรือ การขาดงบประมาณจนต้องปิดหน่วยงานรัฐบางส่วนในสหรัฐฯ ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่วันเสาร์ที่ผ่านมา (22 ธ.ค.) อาจลากยาวไปจนพ้นวันคริสต์มาส หลังจากวุฒิสภาซึ่งต้องผ่านกฎหมายงบประมาณชั่วคราว เลื่อนการประชุมไปจนถึงวันพฤหัสบดีที่ 27 ธ.ค. เนื่องจากรีพับลิกันและเดโมแครตยังไม่อาจตกลงกันเรื่องงบฯ สร้างกำแพงกั้นชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกได้

เมื่อสัปดาห์ก่อน พรรครีพับลิกันพยายามผลักดันกฎหมายงบประมาณชั่วคราว ซึ่งสอดแทรกงบประมาณก่อสร้างกำแพงจำนวน 5.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เข้าไปด้วยท่ามกลางเสียงคัดค้านจากฝ่ายเดโมแครต โดยสภาผู้แทนราษฎรซึ่งรีพับลิกันยังครองเสียงข้างมากอยู่มีมติผ่านกฎหมายดังกล่าว แต่พวกเขาไม่สามารถระดมคะแนนเสียงในวุฒิสภาได้ถึง 60 เสียงตามที่ต้องการ ทำให้กฎหมายงบประมาณไม่ผ่านมติ ขณะที่กฎหมายงบประมาณฉบับเก่าหมดอายุหลังพ้นเที่ยงคืนวันศุกร์ สหรัฐฯ จึงเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์ครั้งที่ 3 ในรอบ 1 ปี

วุฒิสภาสหรัฐฯ เปิดประชุมสภาในวันเสาร์ซึ่งเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่ไม่นานก็ประกาศเลื่อนการประชุม โดยนาย มิตช์ แมคคอนเนลล์ ส.ว.รีพับลิกันและประธานเสียงข้างมาก กล่าวว่า ได้กดปุ่มหยุดแล้ว และวุฒิสภาจะไม่มีการลงมติรอบใหม่จนกว่าเขาจะได้รับลายเซ็นจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับความเห็นชอบจากพรรคเดโมแครตในเรื่องกฎหมายงบประมาณชั่วคราว

อย่างไรก็ตาม นาย ชัค ชูเมอร์ ผู้นำเดโมแครตในวุฒิสภา ประกาศเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า กฎหมายงบประมาณสอดใส่งบฯ สร้างกำแพงฉบับนี้จะไม่มีวันผ่านมติจากวุฒิสภา ไม่ว่าจะวันนี้ สัปดาห์หน้า หรือปีหน้า “ท่านประธานาธิบดี หากคุณอยากเปิดรัฐบาล คุณต้องทิ้งกำแพง ง่ายๆ แค่นั้น วุฒิสภาไม่ต้องการนำเงินภาษีของชาวอเมริกันไปใช้กับนโยบาลที่ไม่จำเป็น, ไม่ได้ผล และเปล่าประโยชน์”

...

ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ทวีตข้อความในวันเสาร์ว่า พวกเขากำลังเจรจากับเดโมแครตเรื่องการรักษาความปลอดภัยบริเวณชายแดนซึ่งจำเป็นเร่งด่วน แต่การเจรจาอาจจะใช้เวลานาน

ทั้งนี้ ผลของการชัตดาวน์ครั้งล่าสุด ทำให 9 จาก 15 กระทรวงของสหรัฐฯ รวมทั้ง กระทรวงต่างประเทศ, ความมั่นคงมาตุภูมิ, คมนาคม, การเกษตร และกระทรวงยุติธรรม ต้องชัตดาวน์บางส่วน ลูกจ้างรัฐบาลราว 380,000 คนถูกพักงานชั่วคราวโดยไม่ได้รับค่าจ้าง ขณะที่อีก 420,000 คนที่มีตำแหน่งหน้าที่สำคัญเช่นเจ้าหน้าที่ศุลกากร ต้องทำงานต่อโดยไม่ได้รับค่าจ้าง