ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ยืนยันเมื่อ 20 ต.ค.ว่า สหรัฐฯจะถอนตัวจากข้อตกลงอาวุธนิวเคลียร์ฉบับสำคัญกับรัสเซีย โดยผู้นำสหรัฐฯแถลงต่อผู้สื่อข่าวระบุว่า รัสเซียละเมิดข้อตกลงกองกำลังนิวเคลียร์พิสัยกลาง (ไอเอ็นเอฟ) ที่ลงนามร่วมกันเมื่อปี 1987 (พ.ศ.2530) หรือยุคสงครามเย็น ซึ่งห้ามผลิตขีปนาวุธพิสัยกลางแบบยิงจากภาคพื้นรุ่นธรรมดาและติดหัวรบนิวเคลียร์ ระยะทำการโจมตี 500-5,500 กิโลเมตร และว่าจะไม่ยอมให้รัสเซียผลิตอาวุธฝ่ายเดียว ขณะที่สหรัฐฯไม่ได้รับอนุญาต ทรัมป์ กล่าวด้วยว่าไม่รู้เพราะอะไร อดีตผู้นำสหรัฐฯ นายบารัค โอบามา ถึงไม่เจรจาหรือถอนตัวจากไอเอ็นเอฟ รัสเซียละเมิดข้อตกลงมาหลายปีแล้ว

นายทรัมป์กล่าวต่อไปว่า สหรัฐฯจะพัฒนาอาวุธ เว้นแต่ว่า รัสเซียและจีน เห็นชอบยุติการพัฒนาอาวุธด้วย แม้ความจริง จีนจะไม่ได้เป็นภาคีของไอเอ็นเอฟด้วย

ทั้งนี้เมื่อปี 2557 อดีตประธานาธิบดีโอบามากล่าวหารัสเซียละเมิดไอเอ็นเอฟหลังกล่าวหาทำการทดสอบขีปนาวุธแบบยิงจากภาคพื้น แต่เลือกที่จะไม่ถอนตัวจากไอเอ็นเอฟตามแรงกดดันของเหล่าผู้นำยุโรป เพราะเห็นว่าการถอนตัวออกมาอาจนำไปสู่การเริ่มการแข่งขันด้านอาวุธรอบใหม่

ข่าวระบุคาดว่า นายจอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯจะบอกจุดประสงค์ดังกล่าวของสหรัฐฯระหว่างการหารือกับเจ้าหน้าที่รัสเซียช่วงสัปดาห์หน้า

แหล่งข่าวกระทรวงต่างประเทศของรัสเซียคนหนึ่ง เผยว่า ท่าทีของสหรัฐฯครั้งนี้ มีมูลเหตุมาจากความฝันเรื่องโลกขั้วเดียว หรือ การมีมหาอำนาจโลกเพียงผู้เดียวหรือประเทศเดียว เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัสเซียอีกคนระบุว่า การถอนตัวแต่ฝ่ายเดียวของสหรัฐฯ เป็นก้าวที่อันตรายอย่างมาก สหรัฐฯกำลังใช้ข้อตกลงนี้ขู่กรรโชกรัสเซียและทำให้ความมั่นคงของโลกอยู่ในสถานะสุ่มเสี่ยงภัย

...

สหรัฐฯเคยถอนตัวจากข้อตกลงด้านอาวุธฉบับสำคัญมาแล้วเมื่อปี 2545 อดีตผู้นำสหรัฐฯ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ถอนสหรัฐฯจากข้อตกลงต่อต้านขีปนาวุธซึ่งห้ามผลิตและทดสอบอาวุธต่อต้านขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ แต่มาถึงยุคโอบามาได้ยกเลิกในปี 2552 และเจรจาทำข้อตกลงใหม่ทดแทนในปี 2559.