ระยะหลัง การเดินทางไปตะวันออกกลางไม่ปลอดโปร่งโล่งใจเหมือนสมัยก่อนตอนที่ยังไม่มีโซเชียลมีเดียแพร่ขยายกระจาย การตรวจตราต่างๆ ยังไม่เข้มงวด และใช้ความสัมพันธ์อันดีส่วนตัวก็พอแล้วในการเดินทางไปพบปะผู้คน แต่สมัยนี้มีแต่ความระแวง ประชาชนคนที่ได้เลือกตั้งคณะผู้นำอย่างเสรี มีการก่นด่าผู้บริหารลงในโซเชียลมีเดีย
ภาษาที่ใช้ในประเทศตะวันออกกลางแทบทั้งหมดคือภาษาอารบิก การด่าผู้นำของตนเองในประเทศหนึ่ง ผู้คนในประเทศอื่นก็เข้าใจได้ด้วยเพราะใช้ภาษาอารบิกเดียวกัน ประเทศหนึ่งเลือกตั้งได้ ประชาชนคนทั่วไปมีสิทธิเลือกผู้นำของตนเอง ส่วนบางประเทศมีราชวงศ์กุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ประชาชนไม่มีสิทธิเลือกผู้นำ การเปรียบเทียบให้เห็นอย่างชัดเจนในโลกโซเชียลมีเดียทำให้บางประเทศต้องสร้างกลุ่มก่อการร้ายเข้าไปกวนในประเทศที่มีการเลือกตั้ง เพื่อให้เห็นว่าการเลือกตั้งก็ไม่ได้ทำให้ประเทศสงบ กลับมีความวุ่นวายขายปลาช่อนมากกว่าประเทศที่ไม่มีเลือกตั้งเสียอีก เรื่องนี้ผมไม่ได้เขียนเองครับ แต่ได้จากการตาม ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิธณัฐ มิ่งรุจิราลัย ไปบรรยายที่กรุงแบกแดดของอิรักใน พ.ศ.2559 และ 2560
กลับมาเรื่องที่กำลังดังทั้งโลกอยู่ในขณะนี้ หลายคนสนใจว่า อะไรเกิดขึ้นกับจามาล คาช็อกกี คอลัมนิสต์และนักจัดรายการโทรทัศน์ชาวซาอุดีอาระเบีย ผมขออนุญาตรับใช้ต่อจากเปิดฟ้าส่องโลก ฉบับเมื่อวานครับ
2 ตุลาคม 2561 เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวลำหนึ่งพร้อมผู้โดยสาร 9 คน บินจากซาอุดีอาระเบียเข้ามาในตุรกี วันเดียวกันก็มีชายอีก 6 คน เดินทางด้วยเที่ยวบินพาณิชย์จากซาอุฯ มาตุรกี ทั้ง 15 คน ถือหนังสือเดินทางทูตของทางการซาอุดีอาระเบีย แยกกันพักที่โรงแรมโมเวนพิคและโรงแรมวินด์แฮม จากนั้น ชายทั้ง 15 คน ก็ใช้รถยนต์ 2 คัน เดินทางเข้าไปในสถานกงสุลซาอุฯ ในนครอิสตันบูลในเวลาไล่เลี่ยกับที่นายคาช็อกกีเข้าไป
...
สำนักข่าวระดับโลกอย่างรอยเตอร์และแหล่งข่าวด้านความมั่นคงของตุรกีรายงานว่า คนส่วนใหญ่ใน 15 คนเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของซาอุฯ บางส่วนเป็นทหาร มีอยู่คนหนึ่งที่เป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านนิติวิทยาศาสตร์ที่มีประสบการณ์ยาวนานมากกว่า 20 ปี
นิวยอร์กไทมส์สรุปว่า คาช็อกกีถูกฆ่าตายในสถานกงสุล ถูกแยกชิ้นส่วนลงกล่อง และถูกลำเลียงออกจากสถานกงสุล รถยนต์ 2 คัน ที่พาชาย 15 คน เข้าไปไม่นานก็วิ่งไปที่สนามบินเพื่อออกจากแผ่นดินตุรกี ส่วนรถยนต์คันที่ 3 ออกจากสถานกงสุลแล้วก็มุ่งไปในทิศตรงกันข้าม
รอยเตอร์บอกว่า ทีมไล่ล่าของซาอุฯ วางยาสลบคาช็อกกีในสถานกงสุล ทว่าให้ยาเกินขนาดจนเสียชีวิต ใครที่อ่านวอชิงตันโพสต์ก็คงจะตระหนกตกใจกับเนื้อข่าวที่ว่า ผู้ที่บงการให้ฆ่า คาช็อกกีคือ เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมาร เราเป็นบุคคลภายนอกก็อาจต้องฟังหูไว้หูครับ เบื้องลึกของการหายสาบสูญของคาช็อกกีน่าจะมีอะไรมากกว่านี้
13 ตุลาคม 2561 ทรัมป์พูดในรายการ “60 นาที” ว่า ตัวมีมาตรการลงโทษสถานหนักต่อผู้ที่อยู่เบื้องหลังการฆ่า
คาช็อกกี เมื่อผู้ดำเนินรายการถามทรัมป์ว่า “อาจเป็นซาอุฯ ได้หรือไม่” ทรัมป์ตอบว่า “อาจเป็นไปได้”
เดือนตุลาคม 2561 จะมีการประชุมระหว่างประเทศด้านเศรษฐกิจในกรุงริยาด เมืองหลวงของซาอุดีอาระเบีย ตอนนี้มีข่าวมาแล้วว่า รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ และรัฐมนตรีกิจการการค้าระหว่างประเทศของอังกฤษ อาจจะไม่เดินทางไปร่วมประชุมด้วย
ซาอุดีอาระเบียขู่ว่าตนจะต่อต้านการข่มขู่คุกคามทุกรูปแบบที่มีวัตถุประสงค์บ่อนทำลายเสถียรภาพและความมั่นคงของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการกดดันทางการเมืองหรือเศรษฐกิจ ซาอุฯ บอกว่า เศรษฐกิจของตนมีอิทธิพลต่อกลไกเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมน้ำมัน รัฐบาลซาอุฯ เตรียมมาตรการตอบโต้การคว่ำบาตรมากกว่า 30 วิธี
1 ใน 30 วิธีคือ การจับมือกับอิหร่าน ศัตรูสำคัญของสหรัฐฯ
ผมบอกแต่แรกแล้วว่า......
การสาบสูญของนายคาช็อกกีนี่ไม่ธรรมดา.
นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com