จีนออกกฎหมายใหม่ อนุญาตให้ตั้งค่ายกักกันชาวมุสลิมอุยกูร์ เพื่อปรับทัศนคติ โดยอ้างว่า มีเป้าหมายในการต่อสู้กับลัทธิสุดโต่ง...
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อ 10 ต.ค. ว่า รัฐบาลจีนใตเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ แก้กฎหมายเพื่ออนุญาตให้รัฐบาลท้องถิ่น ให้การศึกษาและเปลี่ยนแปลงความคิด ของประชาชนที่ได้รับอิทธิพลจากลัทธิสุดโต่ง ที่ ‘ศูนย์ฝึกวิชาชีพ’ ซึ่งเป็นคำที่จีนใช้เรียกเครือข่ายศูนย์กักกันหรือ ‘ค่ายปรับทัศนคติ’
การแก้กฎหมายดังกล่าวมีผลในวันอังคารที่ 9 ต.ค. ที่ผ่านมา เกิดขึ้นในขณะที่นานาชาติออกมาแสดงความกังวลเรื่องการหายตัวไปเป็นจำนวนมากของชาวอุยกูร์ โดยจีนยืนยันเมื่อเดือนสิงหาคมว่า พวกเขาไม่ได้กักขังประชาชนนับล้านตามที่ถูกกล่าวหา แต่ยอมรับในเวทีประชุมสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติว่า ชาวอุยกูร์ถูกหลอกโดยกลุ่มคลั่งศาสนา และกำลังอยู่ระหว่างการสอนให้คิดใหม่ทำใหม่และย้ายรกราก
กฎหมายใหม่ของจีนถือเป็นข้อมูลแรกที่บอกว่า จีนกำลังทำอะไรในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ โดยกฎหมายยกตัวอย่างพฤติกรรมที่อาจทำให้ถูกนำตัวเข้า ศูนย์ฝึกวิชาชีพ ไว้ต่างๆ นาๆ รวมทั้ง การขยายกรอบความคิดเรื่อง ‘ฮาลาล’ (อาหารหรือยาสีฟันที่ไม่มีสิ่งต้องห้ามเจือปน) ให้เกินไปกว่าเรื่องอาหาร, การปฏิเสธที่จะดูรายการโทรทัศน์ของรัฐและฟังวิทยุของรัฐ และการห้ามเด็กๆ จากการรับการศึกษาจากรัฐด้วย
จีนยังเผยอีกว่า เครือข่าย ศูนย์ฝึกวิชาชีพ ของพวกเขาจะสอนภาษาจีนกลาง, กรอบความคิดทางกฎหมาย และฝึกวิชาชีพ กฎหมายใหม่ยังกำหนดอย่างชัดเจนว่า ผู้หญิงชาวมุสลิมห้ามสวมใส่ผ้าคลุมศีรษะด้วย
...
ทั้งนี้ จีนยังเริ่มการรณรงค์ต่อต้านการใช้ผลิตภัณฑ์ฮาลาล โดยเมื่อวันจันทร์ ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ในเมืองอุรุมฉี เมืองเอกของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ กล่าวปฏิญาณว่จะต่อสู้กับ ‘การทำให้ทุกอย่างเป็นฮาลาล’ (pan-halalisation) โดยระบุว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ควรมีปัญหาในเรื่องอาหารการกินและเรื่องของโรงอาหาร และต้องสามารถรับประทานอาหารได้ทุกประเภท นอกจากนี้สมาชิกพรรคและรัฐบาลท้องถิ่นทุกคนต้องพูดภาษาจีนกลางในที่สาธารณะ ไม่ใช่ภาษาท้องถิ่น
หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งของจีนอ้างด้วยว่า การใช้คำว่าฮาลาลกับของอย่างยาสีฟัน เป็นการบดบังเส้นแบ่งระหว่างศาสนากับเรื่องทางโลก และทำให้ผู้คนตกเป็นเหยื่อของลิทธิสุดโต่งทางศาสนา