หลังจากมีการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ.2554 และ 2558 ทุกคนคิดว่าเมียนมาจะดีขึ้น แต่แล้วก็ไม่เป็นไปอย่างที่คิด วันนี้ยอดการลงทุนจากต่างประเทศที่เคยพุ่งตอนที่มีการเลือกตั้งครั้งแรกลดลงเป็นอย่างมาก
นางซูจีผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ พ.ศ.2534 จากการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย เดิมเคยเป็นศักดิ์ศรีของประเทศ มาวันนี้กลับโดนก่นด่าเรื่องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โรฮีนจาและก็มีการกดดันให้คณะกรรมการโนเบลนอร์เวย์ถอนรางวัล ทว่าตอนนี้ สบายใจได้แล้วครับ เพราะคณะกรรมการโนเบลออกมายืนยันแล้วว่า พวกตนไม่มีนโยบายถอนรางวัลจากคน หรือหน่วยงานที่เคยได้โนเบลไปแล้ว
ใครๆก็บอกว่า นางซูจีถูกทหารวางยากรณีโรฮีนจา เพื่อให้นางซูจีเสียชื่อเสียงว่าไม่สามารถบริหารประเทศให้เกิดความสงบได้ และต้องการโยนข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ให้นางซูจี แต่กรรมตามทันครับ “ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว” ตอนนี้คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หรือยูเอ็นเอชอาร์ซี เผยแพร่รายงานการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงด้านสถานการณ์ในรัฐยะไข่ในหน้ากระดาษหลายแผ่นบอกว่า พลเอกมิน อ่อง ลาย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดคือ ผู้ที่เกี่ยวดองหนองยุ่งโดยตรงต่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ขณะนี้มีการเรียกให้ พลเอกมิน อ่อง ลาย ลาออกเพื่อรับการไต่สวน
ผมว่าอนาคตของพลเอกมิน อ่อง ลาย จะต้องเผชิญเคราะห์กรรมแบบเดียวกับพวกผู้นำเขมรแดง (ใช้องค์คณะพิเศษในศาลกัมพูชาพิจารณาคดีและพิพากษา) หรือคล้ายกับพวกที่ละเมิดกฎหมายมนุษยชาติระหว่างประเทศในดินแดนอดีตยูโกสลาเวีย (ใช้ศาลอาชญากรรมสงครามยูโกสลาฟพิจารณาและพิพากษา) หรืออดีตผู้นำรวันดา (ขึ้นศาลการทำลายล้างเผ่าพันธุ์รวันดา)
แต่ศาลที่ให้ พลเอกมิน อ่อง ลาย ไปรับการไต่สวน เป็นศาลถาวรที่มีชื่อว่า “ศาลอาญาระหว่างประเทศ” ศาลนี้ตั้งขึ้นมาเมื่อ พ.ศ.2541 เพื่อพิจารณาความผิดของบุคคลธรรมดา ก่อนที่จะมีการตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศ
...
การพิจารณาความผิดของบุคคลธรรมดาก็ต้องไปขอให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติตั้ง “ศาลเฉพาะกิจ” ขึ้นมาพิจารณาเท่านั้น
มีคำถามว่า การพิจารณาคดีเขมรแดงทำกันหลังจากมีการตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศแล้ว ทำไมจึงไม่ใช้ศาลอาญาระหว่างประเทศพิจารณา แต่กลับไปใช้องค์คณะพิเศษในศาลกัมพูชา ขอ อนุญาตอธิบายครับว่า การพิจารณาความผิดของบุคคลธรรมดาในศาลระหว่างประเทศนั้น ให้ดูที่ “ห้วงเวลาของการกระทำความผิด” พวกเขมรแดงกระทำความผิดก่อนการจัดตั้งของศาลอาญาระหว่างประเทศ จึงใช้บริการของศาลอาญาระหว่างประเทศไม่ได้
คดีที่ พลเอกมิน อ่อง ลาย โดนแจ้งข้อหาและขอให้เข้ารับการไต่สวนนั้น มีชื่อข้อหาอย่างเป็นทางการว่า “Crime of Genocide” แปลเป็นไทยก็คือ “อาชญากรรมอันเป็นการทำลายล้างเผ่าพันธุ์” พิจารณาจาก “การกระทำที่ทำไปโดยเจตนาที่จะทำลายทั้งกลุ่ม หรือบางส่วนของชนชาติ เชื้อชาติ หรือกลุ่มศาสนา โดยการฆ่า การ ทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ การทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ยากลำบากเพื่อเป็นการทำลายร่างกาย การใช้มาตรการห้ามเกิด หรือการบังคับย้ายโอนเด็กของกลุ่มหนึ่งไปยังอีกกลุ่มหนึ่ง”
พลเอกมิน อ่อง ลาย โดนเรื่องนี้ พร้อมกับฝนตกอย่างหนักในเขตพะโค มีปริมาณน้ำมากจนทำให้เขื่อนโครงสร้างของทางน้ำล้นของเขื่อนสวาซองแตก และน้ำเข้าท่วมเมืองและหมู่บ้าน 85 แห่ง ถนนหนทางก็โดนน้ำท่วมจนถูกตัดขาด
พลเอกมิน อ่อง ลาย ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์และช่วยเหลือประชาชนอย่างหนักด้วยตัวเอง ภาพการช่วยเหลือประชาชนของแกถูกแพร่ขยายกระจายไปทั่วโลก จนหลายคนบอกว่า พลเอกมิน อ่อง ลาย ทำความดีเพื่อประเทศชาติและประชาชนเอาไว้เยอะแยะ ไม่น่าจะต้องไปโดนชะตากรรมติดคุกด้วยคำสั่งของศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ
พวกที่ชำนาญการระหว่างประเทศฟังแล้วก็อยากจะบอกว่า เรื่องการช่วยเหลือประชาชนกับการทำลายล้างเผ่าพันธุ์นั้น คนละเรื่องกัน อย่าเอาผสมกัน.
นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com