วิกฤตการณ์ผู้อพยพชาวมุสลิมโรฮีนจา กลายเป็นประเด็นในระดับนานาชาติอีกครั้ง ภายหลังคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ UNHRC เผยแพร่รายงานในวันที่ 27 ส.ค. ชี้ว่า การกวาดล้างชาวโรฮีนจาในรัฐยะไข่ของกองทัพเมียนมาเมื่อปี 2560 เข้าข่ายการ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์”

ถือว่ารุนแรงกว่าครั้งไหนๆ เนื่องจากความผิดอาชญากรรมร้ายแรง 4 ประเภท คือ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ อาชญากรรมสงคราม อาชญากรรมอันเป็นการรุกราน เข้าข่ายการพิจารณาคดีของ ศาลอาญาระหว่างประเทศ ICC กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ และยูเอ็นก็ได้เรียกร้องให้ไอซีซีดำเนินคดีต่อนายทหารระดับสูงเมียนมา 6 นาย รวมถึงบิ๊กเนม พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด

พร้อมด่าโยง อองซาน ซูจี ผู้นำโดยพฤตินัยของเมียนมา โดยประธานยูเอ็นเอชอาร์ซี กล่าวชัดเจนว่า ควรลาออกไปถูกกักบริเวณในบ้านเหมือนเดิม ดีกว่าเป็นเพียงโฆษกกองทัพ ขณะที่เฟซบุ๊กยังโดดร่วมวง สั่งปิดเพจของ พล.อ.มิน อ่อง หล่าย และนายทหารอื่นๆ ฐานเผยแพร่ข้อมูลสร้างความเกลียดชังต่อชาวโรฮีนจา

เบื้องต้นรัฐบาลเมียนมาปฏิเสธไม่ยอมรับรายงานของยูเอ็น พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนของตัวเองเพื่อมาตอบโต้ข้อกล่าวหาผิดๆของประชาคมโลก ทุกสิ่งจึงนำมาสู่คำถามว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป

ประการแรก เมียนมาไม่จำเป็นต้องยอมรับอำนาจศาลไอซีซี เนื่องจากมิได้เป็นรัฐภาคีในธรรมนูญกรุงโรม พ.ศ.2545 ตรงจุดนี้มีข้อยกเว้นคือ หาก คณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ UNSC เป็นคนส่งเรื่องให้ไอซีซีพิจารณา สามารถทำได้ เพราะมติของยูเอ็นเอสซีครอบคลุมทุกประเทศ แม้จะไม่ได้เป็นภาคี

พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ผบ.สส.เมียนมา เดินตรวจพื้นที่น้ำท่วม เมื่อ 29 ส.ค. ขณะที่ยูเอ็นเผยรายงานการกวาดล้างชาวโรฮีนจาในรัฐยะไข่ปี 2560 เข้าข่ายฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ พร้อมร้องให้ศาลไอซีซีดำเนินคดีพลเอกรายนี้.
พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ผบ.สส.เมียนมา เดินตรวจพื้นที่น้ำท่วม เมื่อ 29 ส.ค. ขณะที่ยูเอ็นเผยรายงานการกวาดล้างชาวโรฮีนจาในรัฐยะไข่ปี 2560 เข้าข่ายฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ พร้อมร้องให้ศาลไอซีซีดำเนินคดีพลเอกรายนี้.

...

อย่างไรก็ตาม การเดินเรื่องผ่านคณะมนตรีความมั่นคง ไม่น่าบรรลุผล อาจถูกชาติสมาชิกถาวร “จีน” ใช้สิทธิวีโตคว่ำมติทิ้ง โดยจีนเคยกล่าวสนับสนุนสิ่งที่รัฐบาลเมียนมาเรียกว่า ปฏิบัติการปราบปรามกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบอย่างชอบด้วยกฎหมายในรัฐยะไข่พร้อมระบุว่า การวิจารณ์และกดดันไม่ช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวที่มีความซับซ้อน ประชาคมโลกควรส่งเสริมเมียนมาและบังกลาเทศแก้ปัญหาผ่านการเจรจา

ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ประการต่อมา สำนักข่าวบีบีซีอังกฤษระบุว่า ในทางทฤษฎีแล้ว สมัชชาใหญ่สหประชาชาติ UN General Assembly สามารถตั้งคณะกรรมการอิสระไต่สวนคดีอาญาขึ้นมา เหมือนกับกรณีของรวันดา หรืออดีตยูโกสลาเวีย เพื่อหลีกเลี่ยงถูกวีโต แต่นั้นหมายถึงรัฐบาลเมียนมาต้องให้ความร่วมมือ ส่งตัวผู้ถูกกล่าวหามารับการไต่สวนพิจารณาคดี ซึ่งเคสก่อนๆที่เกิดขึ้นใช้เวลานานหลายปี

ถ้าไม่เข้าข่ายสองประการ ทั้งศาลไอซีซีหรือคณะกรรมการอิสระ ก็มิอาจไปพิจารณาเอาความผิดอะไรได้ ซึ่งทางเลือกอื่นๆ อาจรวมถึงมาตรการคว่ำบาตร หรือทางคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น ลงมติห้ามเดินทาง อายัดทรัพย์สินผู้ที่ถูกกล่าวหาตามรายงาน

และถึงแม้จะเกิดการพลิกล็อกจริงๆ จีนไม่ขวางยูเอ็นเอสซี เปิดทางให้ศาลอาญาระหว่างประเทศพิจารณาคดี ซึ่งศาลอาจรับหรือไม่รับฟ้อง ถ้าศาลรับฟ้องพิจารณามีความผิดถูกออกหมายจับ ก็ทำอะไรไม่ได้อีกเช่นกัน เนื่องจากไอซีซีไม่มีอำนาจเข้าไปจับกุมตัว เว้นแต่บุคคลนั้นจะเดินทางออกนอกประเทศ อีกทั้งถึงจับได้ นำไปพิจารณาคดีผิดจริง ไอซีซีก็ไม่มีคุกของตัวเอง ต้องส่งนักโทษกลับไปยังประเทศต้นทาง

ในรายงานของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ ระบุการดำเนินคดีใดๆควรกระทำต่อนายทหารระดับสูงของกองทัพเมียนมา ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบหลักในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สำหรับ อองซาน ซูจี นั้นชี้เพียงว่า ล้มเหลวในการใช้อำนาจด้วยจริยธรรม เข้าขวางกองทัพมิให้กระทำผิด

กลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยย่างกุ้ง รุมต้อนรับอองซาน ซูจี ผู้นำโดยพฤตินัยของเมียนมาอย่างอบอุ่น.
กลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยย่างกุ้ง รุมต้อนรับอองซาน ซูจี ผู้นำโดยพฤตินัยของเมียนมาอย่างอบอุ่น.

จึงพอสรุปได้ว่า ยากมากที่อองซาน ซูจี จะโดนหางเลขไปด้วย ซึ่งนักวิเคราะห์สำทับว่า รายงานของสิทธิมนุษยชนยูเอ็นครั้งนี้ เปรียบเสมือนการเตือนสติเสียมากกว่า ว่า ซูจีควรทำอะไรที่สนับสนุนเสียงของประชาคมโลกบ้าง แต่ทั้งหมดทั้งปวง ต้องไม่ลืมว่าวิกฤตการณ์โรฮีนจาในเมียนมาที่เกิดขึ้นตลอดมา เป็นปัญหาซับซ้อน ฝังรากลึก ตั้งแต่ระดับประชาชนรากหญ้าที่ทั้งจากเผชิญประสบการณ์ตรง หรือถูกบ่มเพาะให้จงเกลียดจงชังอีกฝ่าย มองว่าไม่ใช่พวกเดียวกัน

เป็นกลุ่มคนที่ถูกชาติอื่นนำมาทิ้ง ขยายเผ่าพันธุ์เบียดเบียนคนท้องถิ่น แถมยังต่างกันในเรื่องการนับถือศาสนา

...

จนถึงระดับเบื้องบนประเทศเมียนมา ที่ความมีเสถียรภาพของอำนาจบริหารขึ้นกับอารมณ์ของประชาชน (และกองทัพ) ซึ่งในเมื่อประชาชนส่วนมากไม่เอา ทำไมต้องเข้าไปขวางลำให้เจ็บตัว กรณีดังกล่าวถือเป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้ทุกฝ่ายพึงพอใจ ซึ่งจุดนี้เป็นไปได้ว่า รัฐบาลเมียนมาจะเลือกฟังเสียงคนในประเทศมากกว่า.


วีรพจน์ อินทรพันธ์