ถ้าพูดถึงตระกูลที่รวยที่สุดในอเมริกา คงไม่มีใครชิงตำแหน่งจาก “ตระกูลวอลตัน” ไปได้ ด้วยสินทรัพย์ในครอบครองรวมกัน 163,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตระกูลนี้สร้างฐานะร่ำรวยมาด้วยลำแข้งและหยาดเหงื่อของ “แซม วอลตัน” เด็กบ้านนอกยากจนจากโอกลาโฮมา ที่ไต่เต้าจากพนักงานห้างต๊อกต๋อย ขึ้นมาเป็นเจ้าของห้างค้าปลีกใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง “วอลมาร์ท” ได้อย่างน่าทึ่ง โดยปัจจุบันวอลมาร์ททำยอดขายได้ปีละ 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีสาขาอยู่ 12,000 สาขาทั่วโลก

สมัยเด็กๆ “แซม” ฝันแค่อยากเป็นเซลส์แมน เพราะเป็นอาชีพรายได้ดีที่สุดในยุคนั้น เขาเป็นเด็กขยัน ทำงานหารายได้พิเศษทุกทางเพื่อจุนเจือครอบครัว ทำมาหมดทั้งช่วยพ่อรีดนมวัวขาย, เป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ และรับจ้างต่อคิวร้านอาหาร แซมกัดฟันส่งตัวเองเรียนจนจบมหาวิทยาลัยมิสซูรี และเริ่มต้นอาชีพแรกด้วยการเป็นพนักงานห้าง “เจ.ซี. เพนนี” กินเงินเดือน 75 ดอลลาร์สหรัฐฯ

ชีวิตของเขาพลิกผันครั้งสำคัญ เพราะได้แต่งงานกับลูกสาวนักกฎหมายมีฐานะ พ่อตาของเขาคือคนจุดประกายให้ “แซม” ลุกขึ้นเป็นเถ้าแก่เอง โดยให้ยืมเงิน 20,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อซื้อแฟรนไชส์เปิดห้างเล็กๆ “เบน แฟรงค์คลิน” ในรัฐอาร์คันซอ ตอนนั้นเขาอายุ 27 ปี แม้จะอ่อนด้อยประสบการณ์ไม่เคยทำธุรกิจ แต่ด้วยความดิ้นรนพลิกแพลงเก่ง ภายในเวลา 2 ปีครึ่ง ก็สามารถหาเงินมาคืนพ่อตาได้ทั้งก้อน

กลยุทธ์การทำธุรกิจแบบมวยวัดของแซม ไม่เคยเขียนในตำราเล่มไหน แต่มันคือสุดยอดคัมภีร์ของเจ้าสัวยุคก่อน เขาเป็นคนแรกๆที่ตระเวนหาสินค้าแปลกใหม่จากภูมิภาคอื่นๆมาขายเสริมในห้าง เพื่อสร้างความหลากหลายและหาช่องทางทำรายได้เพิ่มให้ธุรกิจแฟรนไชส์ โดยกลยุทธ์ที่ได้ผลมากที่สุดคือ การสั่งสินค้าจากซัพพลายเออร์คราวละมากๆ แล้วนำมาจัดโปรโมชันลดราคาหั่นแหลกตัดหน้าคู่แข่ง ห้างของแซมยังมีเครื่องทำไอศกรีมและป๊อปคอร์นตั้งอยู่หน้าร้าน เพื่อสร้างสีสันดึงลูกค้าจากห้างอื่น

...

“แซม” ใช้เวลาเกือบ 17 ปี กว่าจะได้เปิดห้างสรรพสินค้าของตัวเอง ภายใต้ชื่อ “วอลมาร์ท” โดยสาขาแรกตั้งอยู่ในเมืองโรเจอร์ส รัฐอาร์คันซอ ห้างของเขาเติบโตและขยายสาขาอย่างรวดเร็ว เพราะทำการตลาดได้ล้ำยุค วอลมาร์ทมีขายทุกอย่างตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบในราคาถูกกว่าใครๆ ที่สำคัญหากลูกค้าไม่พอใจก็สามารถนำสินค้ากลับมาคืนได้ทันที อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ทำให้วอลมาร์ทชนะคู่แข่งแบบไม่เห็นฝุ่นคือ ยอมลงทุนกับเรื่องการจัดส่งสินค้าและการกระจายสินค้า โดยไม่ผ่านคนกลาง ทำให้ประหยัดต้นทุนไปหลายเปอร์เซ็นต์

ตอนเปิดห้างยุคแรก วอลมาร์ทชูสโลแกน “Always Low Prices, Always” แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นคอนเซปต์ “Save Money, Live Better” ถ้าถาม “บิ๊กแซม” อะไรคือหัวใจสำคัญของความสำเร็จ เขามักตอบว่า “จงทำให้เกินความคาดหวังของลูกค้า แล้วลูกค้าจะกลับมาหาเราอีกแน่นอน ในทัศนะของเขาแล้ว ลูกค้าคือพระเจ้าอย่างแท้จริง เขาบอกกับพนักงานวอลมาร์ทเสมอว่า เจ้านายของพวกคุณมีเพียงคนเดียวเท่านั้น ก็คือลูกค้า พวกคุณจะอยู่หรือจะไปก็ขึ้นกับความพอใจของลูกค้า”

แม้จะรวยยกตระกูลเป็นอันดับหนึ่งของอเมริกา แต่ลูกหลานบ้านวอลตัน ก็ยังเดินตามรอย “บิ๊กแซม” ใช้ชีวิตติดดิน ประหยัดมัธยัสถ์ และเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ชอบเป็นข่าว สมัยแซมยังมีชีวิตอยู่ เขาขับรถกระบะคันเก่าๆ เข้าร้านตัดผมแถวบ้าน และขึ้นชื่อว่าเป็นโรคเกลียดนักข่าวที่สุด เพราะสื่อมักมองเขาเป็นคนบ้านนอกตัวประหลาด.

มิสแซฟไฟร์