TRAPPIST-1 ภาพโดย : NASA/JPL-Caltech

กล้องโทรทรรศน์อวกาศสปิตเซอร์ (Spitzer Space Telescope) ขององค์การนาซา ที่ตั้งชื่อเพื่อเป็นการคารวะแก่ ดร.ไลแมน สปิตเซอร์ ผู้เสนอให้ส่งกล้องโทรทรรศน์ขึ้นไปบนอวกาศ ได้ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและโคจรตามโลกไปรอบๆดวงอาทิตย์เพื่อทำภารกิจหาแหล่งรังสีอินฟราเรดในห้วงลึกของอวกาศ ซึ่งเพิ่งครบรอบ 15 ปีของการเดินทางเคียงข้างโลกเมื่อ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา

เวลาที่ยาวนานนั้นไม่สูญเปล่า กล้องดังกล่าวได้สร้างความดีความชอบไว้ไม่น้อย เช่น ค้นพบกาแล็กซีขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างไกลและเกิดหลังทางช้างเผือกของเรานับหมื่นปี หรือพบหลุมดำมวลมหาศาล 2 แห่งที่แกนกลางกาแล็กซี ตรวจจับบั๊กกี้บอลล์ (Buckyball) ซึ่งเป็นโมเลกุลของธาตุคาร์บอนที่มีทรง 6 เหลี่ยมในอวกาศ และเป็นกล้องโทรทรรศน์ตัวแรกที่สังเกตพบแสงจากดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะได้โดยตรง เพราะก่อนหน้านี้มักจะพบทางอ้อมเท่านั้น นอกจากนี้ยังถ่ายภาพห้วงอวกาศได้มากกว่า 2 ล้านภาพ ทำให้นำมาสร้างแผนที่กาแล็กซีทางช้างเผือกได้ และการตรวจจับคลื่นอินฟราเรดของกล้องก็ช่วยในการศึกษาดาวเคราะห์น้อยที่อยู่ใกล้โลกว่าจะมีโอกาสเข้าชนโลกหรือไม่

แต่ที่นับว่าเป็นผลงานสุดยิ่งใหญ่ก็คือการค้นพบระบบสุริยะใหม่ชื่อ “แทรพพิสต์-วัน” (TRAPPIST-1) ที่มีสมาชิกคือ ดาวเคราะห์ขนาดใกล้เคียงโลก 7 ดวงโคจรอยู่รอบดาวฤกษ์ดวงเดียว ที่สำคัญคือมีดาวเคราะห์ 3 ดวงในระบบดาวแห่งนี้ ถูกระบุว่าอาจเหมาะต่อการอาศัยอยู่ของสิ่งมีชีวิต

ผลงานที่ได้จากกล้องโทรทรรศน์อวกาศสปิตเซอร์ถือเป็นข้อมูลชั้นยอดและเป็นก้าวสำคัญของงานค้นคว้าด้านอวกาศ แม้ตอนนี้จะยังไขไม่ได้ว่าในจักรวาลอันกว้างใหญ่ มีเพียงแค่ “เรา” จริงหรือ? แต่เมื่อนำข้อมูลต่างๆที่ได้มาไปผนึกกำลังกับโครงการอวกาศอื่นๆที่ผุดขึ้นมาอย่างมากมาย ความหวังที่จะล่วงรู้ว่ามีรูปแบบสิ่งมีชีวิตที่อาจเหมือนมนุษย์อย่างเราๆบนดาวดวงไหนสักดวงก็คงอยู่ไม่ไกล.

...

ภัค เศารยะ