เข้าสู่ช่วงปลายเดือนสิงหาคม... สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ ชาติมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก กับ จีน มหาอำนาจแห่งเอเชีย ทวีความร้อนแรงมากขึ้น...รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงเดินหน้าตั้งกำแพงภาษี ขึ้นราคาสินค้านำเข้าจากจีนอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2561 มาตราการขึ้นภาษี25% สินค้านำเข้าจากจีน ระลอกที่สอง เริ่มมีผลบังคับใช้แล้ว ในขณะที่ รัฐบาลจีน ภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ก็‘สวนหมัด’ประกาศ จะตอบโต้สหรัฐฯด้วยวิถีทางเดียวกันแบบ ‘ตาต่อตา..ฟันต่อฟัน’ ทันที ในขณะที่ บาดแผลจาก สงครามการค้าของสองชาติมหาอำนาจ เริ่มส่งผลแล้วเช่นกัน...

* สหรัฐฯขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนระลอกที่2 มีผลบังคับใช้
สำหรับ มาตรการขึ้นภาษี25% สินค้านำเข้าจากจีน มูลค่า 1.6หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 5.28 แสนล้านบาท เริ่มมีผลบังคับใช้หลังเข็มนาฬิกาผ่านพ้นเวลา24.00น.ของวันพฤหัสฯที่ 23 สิงหาคม ตามเวลาในสหรัฐฯ หรือตรงกับช่วงเที่ยงของวันเดียวกัน ตามเวลาในจีน
...
คราวนี้ สินค้าจากจีน จำนวน 279 รายการ รวมทั้ง เซมิคอนดักเตอร์ , พลาสติก, เคมีภัณฑ์,รถจักรยานยนต์,มาตรวัดความเร็ว และอุปกรณ์สร้างรางรถไฟ ได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า จะถูกสหรัฐฯเก็บภาษีนำเข้า 25%

* ทรัมป์กร้าว ขึ้นภาษีสินค้าจีน ระลอกแรก 3.4หมื่นล้าน
ประธานาธิบดี ทรัมป์ เริ่มลงดาบ ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 25% มูลค่า 34,000 ล้านดอลลาร์ (1.1 ล้านล้านบาท) เมื่อวันที่ 6ก.ค.61 โดยอ้างว่าเพื่อตอบโต้ความไม่เป็นธรรมทางการค้า และ การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐอเมริกา
ในขณะที่ ทรัมป์ มีความคิดเกี่ยวกับทฤษฎีการตั้งกำแพงภาษีว่า จะทำให้สินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯมีราคาถูกกว่าสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ และทำให้บริษัทในอเมริกาสามารถแข่งขันราคาสินค้าจากจีนได้เนื่องจากราคาสินค้าจะถูกกว่าจีนเมื่อเปรียบเทียบกัน
ขณะเดียวกัน ทรัมป์ยังเรียกร้องให้ประชาชน ซื้อสินค้าที่ผลิตในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะเป็นการช่วยส่งเสริมธุรกิจในท้องถิ่นและสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศด้วยพร้อมกับกระตุ้นเรียกร้องให้ประชาชน ซื้อสินค้าที่ผลิตในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะเป็นการช่วยส่งเสริมธุรกิจในท้องถิ่นและสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศด้วย

*สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน รวมมูลค่า50,000ล้านแล้ว
ตามรายงานระบุว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ที่ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตรา 25% และเป็นมูลค่าเท่ากันนั้น รวมแล้ว เป็นมูลค่าถึง 50,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.65 ล้านล้านบาท
ในขณะที่ รัฐบาลสหรัฐฯยังขู่ด้วยว่าจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนระลอกที่ 3 มูลค่า 2แสนล้านดอลลาร์ อย่างเร็งที่สุด อาจเป็นเดือนหน้า คือ เดือนกันยายน โดยประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวว่า การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนนั้น รวมทั้งหมดแล้ว จะคิดเป็นมูลค่ามหาศาล ถึง 5 แสนล้านดอลลาร์
*สหรัฐฯเปิด‘สนามรบ’หลายด้าน
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการทำสงครามการค้ากับจีน ชาติที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2ของโลก เป็นรองจากสหรัฐฯแล้ว ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทรัมป์ ยังเปิดสนามรบหลายด้าน เพราะยังได้มีการขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก 25% และอลูมิเนียม 10% จากสหภาพยุโรป เม็กซิโก และแคนาดาอีกด้วย
...
จีน ชี้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯยุค โดนัลด์ ทรัมป์ ได้‘ก่อสงครามการค้าที่กว้างใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ทางเศรษฐกิจ’ เพราะรัฐบาลทรัมป์ ได้ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า จาก จีน เม็กซิโก แคนาดา และสหภาพยุโรป (อียู)

*IMF ชี้สงครามการค้าจะกระทบต่ออัตราเติบโตศก.โลก
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ระบุสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน จะส่งผลทำให้ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลก ลดลงไป 0.5% ในปี 2020 ในขณะที่ บีบีซี ระบุว่า ผลจากสหรัฐฯตั้งกำแพงภาษีสินค้าจีน ได้ทำให้ภาคอุตสากหรรมของจีนเติบโตช้าลงในเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา
มอร์แกน สแตนเลย์ บริษัทให้บริการทางการเงินระดับโลก ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในนครนิวยอร์ก ได้ประเมินว่า จากการที่ สหรัฐฯชาติมหาอำนาจหมายเลขหนึ่งของโลก ขึ้นภาษี 25% สินค้านำเข้าจาก จีนและสหภาพยุโรป ซึ่งสหรัฐฯได้ถูกตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีจากชาติเหล่านี้เช่นกันนั้น สามารถทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมของโลก ลดลงไป 0.81 เปอร์เซนต์

...
* อุตสาหกรรมยานยนต์ ได้รับผลกระทบหนักสุด
ในบรรดาบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ปรากฏว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยบริษัทผลิตรถยนต์ ฟอร์ด และ เจนเนอรัล มอเตอร์ ได้ประกาศคาดการณ์ตัวเลขผลกำไร ประจำปี 2018 ออกมาแล้วว่าจะมีผลกำไรต่ำลง อันเนื่องมาจากการที่สหรัฐฯขึ้นภาษีเหล็กนำเข้า25% และอลูมิเนียม 10 %
ขณะเดียวกัน ตามรายงานของ เดอะ อิคอนอมิสต์ยังระบุว่า ประเทศในเอเชียที่เป็นประเทศผลิตสินค้าป้อนจีน หรือเป็น ซับพลาย-เชน จะพลอยได้รับผลกระทบด้วย เนื่องจาก30%ของมูลค่าสินค้าจีนที่ส่งไปขายในสหรัฐอเมริกานั้น มีแหล่งผลิตจากประเทศที่ 3
เรียกว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ไปจนถึงอียู แคนาดา เม็กซิโก เริ่มส่งผลกระทบแล้วทั้งต่อบริษัทในสหรัฐฯเอง ต่อจีน ตลอดจนประเทศต่างๆ ส่วนจะหนักหนาสาหัสมากขึ้นขนาดไหน..เป็นเรื่องที่ทุกประเทศกำลังเฝ้าระวังและหามาตรการรับมือด้วยความระทึกอย่างยิ่ง..