นาจิบ ราซัค ผู้เป็นนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศมาเลเซียจนถึงเมื่อวันพุธที่ 9 พ.ค. ที่ผ่านมา พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งใหญ่ให้กับ ดร. มหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตครูของเขาเอง ชนิดพลิกความคาดหมายของนักวิเคราะห์ทั่วโลก ที่เชื่อว่าแม้การเลือกตั้งครั้งนี้จะสูสีกันอย่างมาก แต่ฝ่ายรัฐบาลซึ่งครองอำนาจมานานถึง 61 ปี ก็น่าจะกำชัดเอาไว้ได้

อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้กลุ่มพันธมิตรรัฐบาล ‘แนวร่วมแห่งชาติ’ หรือ ‘บาริซาน เนชั่นแนล’ (BN) พ่ายแพ้? นายนาจิบทำพลาดที่ตรงไหน? คงต้องย้อนกลับไปตั้งแต่จุดเริ่มต้นในเส้นทางการเมืองของเขา

นาจิบ ราซัค
นาจิบ ราซัค

*นาจิบ ราซัค เป็นนักการเมืองโดยสายเลือด

นายนาจิบ เป็นลูกชายคนโตของนาย อับดุล ราซัค นายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ของมาเลเซีย และหลานชายของนาย ฮุสเซน อน นายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ซึ่งหลังจากที่นายนาจิบจบการศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์อุตสาหกรรม จากมหาวิทยาลัยนอตติงแอม ในสหราชอาณาจักร เขาก็เดินทางกลับมาเลเซียในปี 2517 และทำงานให้กับบริษัทน้ำมัน ‘ปิโตรนาส’

...

แต่ 2 ปีต่อมา บิดาของนายนาจิบก็เสียชีวิตอย่างกระทันหัน ทำให้เขาได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์มาเลเซียในวัยเพียง 23 ปี จากนั้นเขาครองตำแหน่งมากมายในคณะรัฐมนตรี รวมทั้งรัฐมนตรีฝ่ายพลังงาน, โทรคมนาคม, การศึกษา, การคลัง และกลาโหม จนกระทั้งได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีในปี 2547 ซึ่งเป็นยุคสมัยการปกครองของนาย อับดุลเลาะห์ บาดาวี ผู้ส่งมอบอำนาจต่อให้นายนาจิบในปี 2552

*ตอนแรกบอกจะปกครองประเทศแบบเสรีนิยม

ในช่วงรับตำแหน่งใหม่ๆ นายนาจิบให้คำมั่นว่าจะเขาจะผลักดันการเมืองแบบเสรีมากขึ้น แต่นายนาจิบไม่ได้ทำตามที่พูด เขาดำเนินการปฏิรูปเพิ่มความเข้มงวดของกฎหมายเกี่ยวกับการรวมตัวในที่สาธารณะ และแม้ว่าในปี 2554 เขาจะยกเลิก ‘กฎหมายความมั่นคงภายใน’ ซึ่งอนุญาตให้ตำรวจควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้โดยไม่ต้องมีการไต่สวนหรือตั้งข้อหา แต่กฎหมายใหม่ที่เขาบังคับใช้แทนก็ถูกใช้จับกุมนักเคลื่อนไหวมากมาย

นายนาจิบยังกลับคำพูดที่เขาเคยบอกว่าจะยกเลิกกฎหมายเกี่ยวกับการต่อต้านรัฐบาล และเพิ่มบทลงโทษกฎหมายดังกล่าวให้รุนแรงขึ้นอีก จนนักวิจารณ์มองว่า กฎหมายเหล่านี้เป็นวิธีที่นายนาจิบใช้เพื่อปิดปากคู่แข่งทางการเมือง และเอาใจชาวมุสลิมมาเลเซีย ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ และผู้สนับสนุนหลักของพรรคการเมืองของเขา

อันวาร์ อิบราฮิม ถูกตำรวจควบคุมตัว
อันวาร์ อิบราฮิม ถูกตำรวจควบคุมตัว

เหตุการณ์ที่สนับสนุนแนวคิดดังกล่าวคือ เมื่อปี 2558 นายอันวาร์ อิบราฮิม อดีตรองนายกรัฐมนตรีมาเลเซียและผู้นำฝ่ายค้านในยุคนั้นถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหา ร่วมเพศทางทวารหนัก ซึ่งเป็นสิ่งที่นายอันวาร์ยืนยันมาตลอดว่าเป็นข้อหาที่มีแรงจูงใจทางการเมือง ในปีต่อมา กฎหมายความมั่นคงที่ออกมาเพื่อต่อสู้กับการก่อการร้าย กลับถูกใช้เพื่อจับกุมนักเคลื่อนไหวสนับสนุนปฏิรูปการเลือกตั้ง

และในเดือนเม.ย.ปีนี้ รัฐบาลของนายนาจิบก็เพิ่งออกกฎหมายต่อต้านการแพร่กระจาย ‘ข่าวปลอม’ ซึ่งหลายฝ่ายกังวลว่ากฎหมายนี้จะถูกใช้จัดการฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลอีก

โลโก้ของกองทุน 1MDB
โลโก้ของกองทุน 1MDB

*เรื่องท้าทายและข้อขัดแย้งในการปกครองของนาจิบ ราซัค

ตลอดอาชีพการเมืองของนายนาจิบ เขาต้องเผชิญกับเสียงคัดค้านและความท้าทายมากมายทั้ง ข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตการจัดซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำจากฝรั่งเศสในปี 2545, อดีตผู้ช่วยเข้าไปพัวพันกับคดีฆาตกรชาวมองโกเลียเมื่อปี 2549, การหายไปของเครื่องบินโดยสาร ‘เอ็มเอช 370’ ของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ในเดือนมี.ค. 2557 และเหตุเที่ยวบิน ‘เอ็มเอช 17’ ถูกยิงตกในยูเครนเมื่อเดือนก.ค. ปีเดียวกัน

...

แต่จุดเสื่อมเสียที่สุดในอาชีพนักการเมืองของนายนาจิบเกิดขึ้นในปี 2558 หลังเขาถูกกล่าวหาว่าบริหารจัดการกองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐบาลที่ชื่อว่า ‘1MDB’ อย่างไม่ถูกต้อง และคอร์รัปชันโดยการยักย้ายถ่ายเทเงินของกองทุกกว่า 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐน เขาบัญชีเงินฝากส่วนตัวของตัวเอง

ชาวมาเลเซียออกมาประท้วงต่อต้านนายกฯ นาจิบ กรณีกองทุน 1MDB
ชาวมาเลเซียออกมาประท้วงต่อต้านนายกฯ นาจิบ กรณีกองทุน 1MDB

เรื่องนี้ทำให้เกิดการเดินขบวนประท้วงครั้งใหญ่ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อเรียกร้องให้นายนาจิบลากออกจากตำแหน่ง โดยดร.มหาเธร์ก็ออกมาร่วมเรียกร้องด้วย แต่นายนาจิบปฏิเสธที่จะลาก จากนั้นในเดือนก.ค.ปีเดียวกัน เขาเปลี่ยนตัวรองนายกรัฐมนตรีที่วิพากษ์วิจารณ์เขาเรื่องการรับมือข่าวอื้อฉาวนี้ และปลดอัยการสูงสุดที่กำลังสืบสวนคดีนี้ โดยอ้างปัญหาเรื่องสุขภาพ

ต่อมาในเดือนม.ค. 2559 อัยการสูงสุดคนใหม่ก็ประกาศว่านายนาจิบไม่ได้กระทำผิด โดยอ้างว่าเงินจำนวน 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ดังกล่าวไม่ได้มาจาก 1MDB แต่เป็นเงินบริจาคส่วนตัวจากราชวงศ์ซาอุฯ และว่านายนาจิบได้คืนเงินไปแล้ว 620 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้หลายประเทศรวมทั้งสหรัฐฯ, สิงคโปร์, สวิตเซอร์แลนด์ และลักเซมเบิร์ก ยังคงตรวจสอบการโอนย้ายเงินดังกล่าวเพื่อหาข้อเท็จจริง

...

*คนยี้หนัก นาจิบขึ้นภาษี

ปัจจัยสำคัญอีกอย่างที่นายนาจิบทำพลาดอย่างแรงคือเรื่องเศรษฐกิจ นโยบายขึ้นภาษีสินค้าและบริการ (GST) จำนวน 6% ในปี 2558 ไม่เคยได้รับการยอมรับจากประชาชนที่กำลังเผชิญกับภาวะค่าครองชีพสูง แม้ว่านายนาจิบจะพยายามบรรเทากระแสความไม่พอใจเรื่องค่าครองชีพ ด้วยการออกเงินอุดหนุนในวงกว้าง และมอบเงินให้กับบ้านที่มีรายได้นี้ก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าความนิยมมีแต่จะลดต่ำลงเรื่อยๆ

มหาเธร์ โมฮัมหมัด
มหาเธร์ โมฮัมหมัด

*แล้ว มหาเธร์ โมฮัมหมัด ก็เข้ามา...

เป็นที่รู้กันดีว่า มหาเธร์ เคยเป็นนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะหัวหน้ากลุ่ม บีเอ็น นานถึง 22 ปี ก่อนจะวางมือในปี 2546 และยังเป็นครูของนายนาจิบอีกด้วย แต่เมื่อ 2 ปีก่อน เขาสร้างความตกตะลึงให้กับชาวมาเลเซีย ด้วยการประกาศออกจากกลุ่ม บีเอ็น และเข้าร่วมกับฝ่ายค้าน ‘พันธมิตรแห่งควาหวัง’ หรือ ‘ปากาตัน ฮาราปัน’ เพราะรู้สึกอับอายที่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องผู้ถูกกล่าวหาว่าทุจริต

...

จากนั้นในเดือนม.ค. 2561 มหาเธร์ก็ประกาศจะท้าทายอดีตลูกศิษย์ของเขาโดยตรงในการเลือกตั้งทั่วไป และแสดงความมั่นใจว่าจะชนะแน่นอนหากนายนาจิบไม่เล่นสกปรก กลายเป็นความหวังใหม่ให้กับชาวมาเลเซีย

ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านแสดงความยินดีกับชัยชนะของนายมหาเธร์
ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านแสดงความยินดีกับชัยชนะของนายมหาเธร์

และก็เป็นไปตามคาด ช่วงก่อนถึงวันเลือกตั้ง มีรายงานการพบสิ่งผิดปกติมากมายเช่น ประชาชนจำนวนหนึ่งบอกว่าพวกเขาไม่ได้รับบัตรลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์ ขณะที่รัฐบาลแก้กฎหมายเกี่ยวกับเขตเลือกตั้งใหม่ ซึ่งนักวิจารณ์มองว่าเป็นการช่วยให้ฝ่ายรัฐบาลชนะ นอกจากนี้ รัฐบาลของนายนาจิบยังโหดกระแสตื่นกลัว ‘ข่าวปลอม’ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เพื่อออกฎหมายใหม่ด้วย

แต่ในท้ายที่สุด ฝ่ายค้านของมหาเธร์ ก็สร้างประวัติศาสตร์ เอาชนะกลุ่มแนวร่วมแห่งชาติ อย่างงดงาม ได้เก้าอี้ในสภาถึง 113 ที่นั่งหรือเกินครึ่ง ส่วนนายนาจิบก็ได้แต่ออกมากล่าวยอมรับความพ่ายแพ้ ซึ่งไม่ได้มีสาเหตุมาจากอย่างอื่น นอกจากการบริหารประเทศของตัวเขาเอง