พลังอำนาจนำมาซึ่งความชอบธรรม กองทัพสหรัฐฯภายใต้คำสั่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไฟเขียวปฏิบัติการทางทหารต่อรัฐบาลซีเรียไปเรียบร้อย วันสงกรานต์ 14 เม.ย.
เปิดฉากยิงถล่มร่วมกับอังกฤษ และฝรั่งเศส ทั้งจากเครื่องบิน เรือรบ เป็นจำนวน 105 นัด โดยเป้าหมายคืออาคาร 3 แห่ง ที่เชื่อว่าเป็นศูนย์วิจัยอาวุธเคมีบาร์ซาห์ บังเกอร์และโรงเก็บอาวุธเคมีฮิมชัน ซาร์ ในกรุงดามัสกัส และ
เมืองฮอมส์
จุดประสงค์เพื่อสั่งสอน รัฐบาลบาชาร์ อัล อัสซาด แห่งซีเรีย หลังเกิดเหตุการณ์ใช้อาวุธเคมีในพื้นที่ชุมชนเมืองโดมา ฐานที่มั่นของฝ่ายต่อต้านรัฐบาล วันที่ 7 เม.ย. ซึ่งมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
แน่นอนว่าหลายต่อหลายครั้ง รัฐบาลสหรัฐฯจะมีเหตุผลพระเอกเสมอในการใช้กำลังทางทหาร คราวนี้ก็เช่นกัน แม้จะยังไม่มีอะไรมายืนยันว่ารัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีจริง พล.อ.เจมส์ แมททิส รมว.กลาโหมสหรัฐฯ ก็ระบุยังไม่พบหลักฐาน แต่ฝรั่งเศสบอกลอยๆว่ามี ส่วน เซอร์เก ลาฟรอฟ รมว.ต่างประเทศรัสเซีย พันธมิตรรัฐบาลซีเรีย กล่าวว่า เป็นการจัดฉากของหน่วยราชการลับของประเทศหนึ่งไม่เอ่ยนาม
ขณะที่หน่วยงานสากล “องค์การห้ามอาวุธเคมี” เพิ่งจะลงพื้นที่ยังไม่ทันเริ่มสำรวจ
จึงเป็นคำถามว่า ปฏิบัติการครั้งนี้หวังผลอะไรกัน เพราะการยิงจรวดโจมตีคราวที่แล้ว 7 เม.ย.2560 จำนวน 59 นัด (ด้วยเหตุผลเดียวกันคือใช้อาวุธเคมี) มุ่งเป้าไปที่ฐานทัพอากาศ ซึ่งทางเพนตากอนสหรัฐฯ ประเมินว่าตัดกำลังเครื่องบินรบรัฐบาลซีเรียไป 20 เปอร์เซ็นต์ ทั้งยังเปิดช่องให้ฝ่ายต่อต้านตีโต้
...
แต่ครั้งนี้ทัพซีเรียขนกำลังพลและยุทโธปกรณ์ไปปะปนกับฝ่ายรัสเซีย ประกอบกับรัสเซียได้เตือนชัดเจนว่า ห้ามยิงโดนเราเด็ดขาด มิฉะนั้นจะถูกสวน ทำให้ดูแล้วแทบไม่เห็นผลอะไรเลยในทางยุทธศาสตร์การรบ ที่เกื้อหนุนฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ซึ่งชาติตะวันตกหนุนหลัง
หรือสุดท้ายแล้ว เหตุที่ต้องยิงมิใช่อะไรอื่น แต่มาจากตัวทรัมป์เองที่ออกตัวแรงไปแล้วว่ามิสไซล์มาแน่ จะมาเปลี่ยนใจถอยฉากหลังรัสเซียฮึ่มกลับ คงเสียหน้าในเวทีโลก!?
ตุ๊ ปากเกร็ด