ภาพ : ธาตรี เชาวชตา
ผอ.กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์ชาวไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล เผยหญิงไทยลงทุนจ้างชาวอินเดียแต่งงานบังหน้า เพื่อใช้สิทธิเข้าไปพำนักและทำงานในอินเดีย โดยสมรู้ร่วมคิดกันเป็นขบวนการ นอกจากนี้ ยังพบปลอมสติกเกอร์วีซ่า
จากการที่หญิงไทยเปิดเส้นทางใหม่ ไปทำงานอาชีพนวดสปาในประเทศเขตเอเชียใต้ ได้แก่ ประเทศอินเดีย และศรีลังกา โดยใช้วีซ่าท่องเที่ยว และวีซ่าธุรกิจ รวมทั้งการไปเป็นเทรนเนอร์ หรือฝึกสอนการนวด แต่แฝงทำงานและค้าประเวณี นอกจากนี้ บางรายถูกนายจ้าง และเครือข่ายบังคับให้ค้าประเวณี จนถูกตำรวจอินเดียล่อซื้อจับกุม ถูกดำเนินคดีและถูกคุมขังในเรือนจำที่อินเดียและศรีลังกา ยังไม่สามารถกลับประเทศไทยได้ เนื่องจากคดียังไม่เสร็จส้ิน ล่าสุดพบว่าหญิงไทยที่ไปทำงานนวด อาศัยการขอวีซ่าไปแสวงบุญในอินเดียและศรีลังกา แล้วหลบเลี่ยงไปทำงานที่เมืองอื่น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 23 มี.ค. 2561 นายธาตรี เชาวชตา ผู้อำนวยการกองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์ คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า หญิงไทยที่ไปทำงานในอินเดียและศรีลังกาโดยผิดกฎหมาย เป็นปัญหามากขึ้น เนื่องจากใช้วีซ่าท่องเที่ยวและวีซ่าธุรกิจ ไม่ได้ขอวีซ่าทำงาน ทำให้เกิดปัญหาถูกนายจ้างกดขี่ค่าจ้างบ้าง ถูกบังคับค้าประเวณีบ้าง มีบางรายถูกนายจ้างยึดหนังสือเดินทางไว้ เมื่อวีซ่าหมดอายุไม่สามารถกลับได้ ต้องอยู่เลยตามเลย จนถูกตำรวจจับ หรือหลบหนีมาขอความช่วยเหลือจากทางสถานเอกอัครราชทูต และสถานกงสุลใหญ่ หากถูกหลอกลวงและถูกบังคับค้าประเวณี ทางเจ้าหน้าที่อินเดียจะส่งกลับประเทศเลย แต่หากมีหลักฐานว่าไปค้าประเวณี จะมีโทษหนัก เพราะกฎหมายการค้าประเวณีของอินเดีย มีโทษหนักมากจำคุก 3-10 ปี
...
นายธาตรี เปิดเผยอีกว่า หญิงไทยที่ไปทำงานในอินเดียและศรีลังกา ส่วนใหญ่จะไปทำงานในสถานนวดและสปา ตามเมืองที่มีความเจริญทางธุรกิจและอุตสาหกรรม โดยอยู่ตามโรงแรมใหญ่และชานเมือง โดยใช้วีซ่าท่องเที่ยวและวีซ่าธุรกิจ คือไปฝึกสอนการนวด แล้วถือโอกาสทำงาน นอกจากนี้ยังพบว่า มีหลายราย ลงทุนจ้างชาวอินเดียแต่งงาน เพื่อใช้สิทธิเข้าพำนักและทำงานอย่างถูกกฎหมาย โดยมีการสมรู้ร่วมคิดกันเป็นขบวนการ
ขณะเดียวกันมีการตรวจสอบด้วยว่า มีการปลอมแปลงสติกเกอร์วีซ่าของอินเดีย เท่าที่สอบถามทราบว่า จ้างบริษัทรับจ้างทำวีซ่าเป็นผู้ยื่นเรื่องให้ แต่เจ้าตัวไม่ได้ไปสแกนลายนิ้วมือ ดังนั้น จึงขอเตือนหญิงไทยที่จะไปทำงาน ขอให้ยื่นขอวีซ่าทำงานให้ถูกต้อง ตรวจสอบนายจ้างและผู้ติดต่อให้ชัดเจนว่าเชื่อถือได้หรือไม่ จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของนายจ้างที่เอาเปรียบ
“ส่วนเส้นทางการไปทำงานและค้าประเวณีของหญิงไทย ยังมีอีกหลายเส้นทาง ได้แก่ประเทศจีน ทางสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง สถานกงสุลใหญ่ที่กวางโจว เซี่ยงไฮ้ และชิงเต่า ได้ช่วยเหลือหญิงที่ไปทำงานนวดสปา ตามเมืองต่างๆ ถูกจับกุมบ้าง นายจ้างเบี้ยวค่าจ้างบ้าง และถูกยกเลิกสัญญาจ้างแล้วลอยแพ มีทุกรูปแบบ ปี 2559 ช่วยไว้ 84 ราย ปี 2560 มี 123 ราย และปี 2561 ตั้งแต่ต้นปีมี 15 ราย
นอกจากนี้ที่ฮ่องกงมีการจับส่งกลับแทบทุกวัน โดยไม่แจ้งผ่านทางสถานกงสุลไทย เนื่องจากตรวจพบว่าใช้วีซ่าท่องเที่ยวไปทำงาน เข้าตรวจพบส่งกลับเลย ดังนั้น ทางกรมการกงสุล กำลังหาแนวทางที่จะกวดขันไม่ให้หญิงไทยที่ไปทำงานอย่างผิดกฎหมาย โดยจะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจะทำได้ในระดับใดบ้าง” นายธาตรี กล่าว.