หนึ่งในบรรดาผู้คนที่เข้าใจว่า ทำไมพม่าจึงกลายมาเป็นสาธารณรัฐแห่งสหภาพที่ยากจนถึงขนาดผู้คนต้องมาทำงานเป็นกรรมกรในประเทศเพื่อนบ้านชื่อ ดร.อันนา กาฟริโลวาแห่งภาควิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สถาบันเอเชียและแอฟริกาศึกษา มหาวิทยาลัยมอสโก ซึ่งรัฐบาลสหภาพโซเวียตเคยส่งท่านมาเป็นที่ปรึกษารัฐบาลทหารเมียนมาอยู่หลายปี
อาจารย์อันนาพูดจาภาษาพม่าได้ดีถึงขนาดที่ว่า ถ้าฟังทางโทรศัพท์ก็จะไม่รู้เลยว่า ท่านเป็นชาวรัสเซีย สมัยที่ผมยังเป็นเด็กเล็กอยู่ เกือบทุกครั้งที่ไปและกลับจากเมียนมา อาจารย์อันนาจะแวะมาพักกับพวกเราที่บ้านรามอินทรา บางครั้งก็ไปอยู่จันทบุรีนานเป็นสัปดาห์ ปฏิวัติรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งจากประชาชนที่สากลยอมรับเมื่อ 2 มีนาคม 2502 แล้ว นายพลเนวินก็ตั้งสภาปฏิวัติและสั่งให้พรรคแนวร่วมสามัคคีแห่งชาติ พรรคปยิดาวสุ และพรรคสันนิบาตเสรีภาพประชาชนต่อต้านฟาสซิสต์ ยุบรวมเป็นพรรคเดียวในชื่อ National Party หรือพรรคแห่งชาติ โดยมีนายทหารจากสภาปฏิวัติบริหารพรรคอยู่เบื้องหลัง
แต่พรรคการเมืองพวกนั้นไม่เอาด้วย คณะทหารจึงจัดตั้งพรรคการเมืองของตนเองขึ้นมาที่มีชื่อว่า “พรรคโครงการสังคมนิยมพม่า” จากนั้นก็ออกคำสั่งคณะปฏิวัติยุบพรรคการเมืองทั้งหมด ให้เหลือแต่เพียงพรรคโครงการสังคมนิยมพม่าของพวกตนเอง
ท่านที่มีโอกาสอ่านร่าง “แผนการปฏิรูปประเทศทั้ง 11 ด้าน” ของ “สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)” การกำหนดประเทศให้อยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมอย่างนี้นี่คือสิ่งที่ “สภาปฏิวัติพม่า” เคยทำมาก่อนสมัยนายพลเนวิน สมัยนั้น ทหารพม่าไปจูงนักการเมืองและนักวิชาการที่ขายวิญญาณและขายความสามารถการพัฒนาพม่าสู่ความเป็นชาติรัฐสากล มาทำงานให้ในลักษณะเดียวกันกับการร่างแผนการปฏิรูปประเทศทั้ง 11 ด้าน ที่ผมยังพอจำชื่อได้ก็มีนายเท่งเป ผู้นำพรรคการเมือง นายอูบาเย่ง นักเศรษฐศาสตร์ ฯลฯ
...
คณะทหารปฏิวัติของบางประเทศไปจูงนักการเมืองและนักวิชาการมารับใช้เป็นคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ 11 ด้าน อันนี้เหมือนกับการที่ทหารพม่าสมัยสภาปฏิวัติตั้ง The Central School of Political Science หรือ “สำนักรัฐศาสตร์” ให้เป็นที่นั่งทำงานของพวกนักวิชาการขายวิญญาณประชาธิปไตยใช้วางอนาคตของพม่าในอีก 20 ปีข้างหน้า
วานนี้ ผมรับใช้ถึงตอนที่ทหารพม่าเข้ามาปกครองประเทศเพียง 10 ปี เศรษฐกิจของพม่าก็ล่ม เงินเฟ้อ สินค้าอุปโภคบริโภคขาดแคลน และเกิดการว่างงานอย่างรุนแรง ประเทศทุนนิยมทุกแห่งยุติการคบหาสมาคมกับพม่า ทหารพม่าก็แก้เกี้ยวด้วยการประกาศปิดประเทศและยุติการขอความช่วยเหลือจากต่างประเทศ
ความบ้าของพวกปฏิวัติพม่าลามไปถึงการยึดธุรกิจขนาดใหญ่มาเป็นของรัฐ ทั้งธนาคาร การค้าระหว่างประเทศ อุตสาหกรรมน้ำมันและเหมืองแร่ อีก 2 ปีต่อมา ทหารพม่าก็ประกาศยึดธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ทั้งโรงงานผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค ร้านค้าขายส่งขายปลีก กิจการสิ่งพิมพ์ ฯลฯ เมื่อทุกอย่างถูกยึดไปเป็นของรัฐแล้ว สภาปฏิวัติก็ส่งคณะทหารมาเป็นผู้บริหาร ทหารใหญ่ก็ได้คุมธุรกิจใหญ่ ทหารน้อยก็เข้ากุมคุมธุรกิจขนาดกลางและเล็ก
ประเทศไทยของเราเจริญกว่าเมียนมาและมายืนเด่นเป็นสง่าไม่น้อยด้อยกว่าใครในนานาอารยประเทศ เพราะเรามีพลเมืองสัญชาติไทยเชื้อชาติจีนและอินเดียช่วยเราทำการค้าพาณิชย์ ผิดกับคณะปฏิวัติพม่าที่ไล่นักธุรกิจจีนและอินเดียออกนอกประเทศ
ไล่คนเก่งออกไป ไม่มีคนทำการค้า สินค้าจึงขาดแคลนรุนแรง สภาปฏิวัติพม่าแก้ไขด้วยการตั้งร้านค้าของรัฐ ผู้จัดการและหัวหน้าแผนกเป็นทหารทั้งหมด ประชาชนจะไปซื้อของ ต้องมีเส้นสาย ถ้าไม่มีเส้นก็ต้องไปซื้อของในตลาดมืดในราคาที่แพงกว่าร้านรัฐหลายเท่า
พม่าเป็นประเทศที่ผลิตและส่งออกข้าวได้เป็นอันดับ 1 ของโลกติดต่อกันนานหลายสิบปี แต่พอทหารเข้ามาปกครองประเทศได้พักเดียว พม่ากลับเป็นชาติที่ขาดแคลนข้าว ถึงขนาดต้องปันส่วนกันกิน ที่เป็นเช่นนี้เพราะชาวนาขาดแรงจูงใจในการเพิ่มผลผลิต ชาวนาที่มีเส้นก็นำข้าวไปในตลาดมืดที่ขายได้ราคาสูงกว่าที่รัฐบาลทหารบังคับซื้อถึง 7 เท่า
โอกาสหน้ามาว่ากันต่อครับ.
นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com