ท่านที่ติดตาม ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิธณัฐ มิ่งรุจิราลัย อยากให้เขียนให้ทราบล่วงหน้าว่าอาจารย์จะไปบรรยายที่ใดบ้าง ยินดีรับใช้ครับ แต่ขอแค่สัปดาห์หน้าเท่านั้นนะครับ ทั้งหมดที่เชิญมาเกี่ยวกับเรื่องไทยแลนด์ 4.0

19 ก.พ. เชิญโดยคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ พูดที่สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น 21 ก.พ. เชิญโดยเทศบาลนครอุดรธานี พูดที่ห้องอุดรธานีฮอลล์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา อุดรธานี 22 ก.พ. เชิญโดย อบต.บางพลีใหญ่ พูดที่ห้องประชุมสภา อบต. (หลังเก่า) 23 ก.พ. 09.00-12.00 น. เชิญโดยคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ พูดที่สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น และ 13.00-16.00 น. เชิญโดยคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ เสวนาที่โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการ

ไม่น่าเชื่อครับ ว่าประเทศที่เคยมีภาพลักษณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดียอดเยี่ยม จะกลายเป็นประเทศที่ไม่สนใจไยดีด้านสิ่งแวดล้อม แต่ก็ยังชอบเอาวาทกรรมคำว่า สิ่งแวดล้อมไปโจมตีประเทศอื่น

ส่วนประเทศที่เคยมีภาพลักษณ์ลบด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กลับมีการกระดิกพลิกตัวที่หันมารักษาสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น

กรณีแรก ผมหมายถึง สหรัฐฯ ซึ่งสมัยก่อนการขออนุมัติเพื่อสร้างสิ่งก่อสร้างในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติ จำเป็นต้องมีการอภิปรายถึงข้อดีข้อเสียในสภาคองเกรส ด้วยกระบวนการขั้นตอนที่ต้องผ่านสภาคองเกรสนี่ล่ะครับ ทำให้โครงการที่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในสหรัฐฯเกิดได้ยาก ทรัพยากรธรรมชาติในสหรัฐฯ จึงเหลือให้คนรุ่นหลังได้เห็นจนกระทั่งทุกวันนี้

ผมเพิ่งฟังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คุยเรื่องร่างนโยบายปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐาน แกบอกว่าจะปรับปรุงระบบการขออนุมัติการสร้างท่อก๊าซธรรมชาติผ่านพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติได้โดยไม่ต้องผ่านการลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ในสภาคองเกรส

นายทรัมป์ต้องการให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจอนุมัติการสร้างท่อส่งก๊าซธรรมชาติมาอยู่ที่คนคนเดียวคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของสหรัฐฯ

...

สิ่งที่นายทรัมป์กำลังทำ ได้รับการหนุนอื้ออึงตึงตังจากนายทุนผู้ประกอบการทั้งหลาย เพราะแต่เดิมนายทุนเหล่านี้จะทำโครงการอะไรใหญ่ๆ ก็ต้องขนข้อมูลบานเบอะเยอะแยะไปให้สมาชิกสภาคองเกรสพิจารณา แต่ละโครงการจึงล่าช้า กว่าจะผ่านได้ต้องใช้เวลาหลายปี

แต่ด้วยนโยบายปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานของนายทรัมป์จะทำให้โครงการใหญ่ที่ล่าช้าเหล่านั้นได้รับการอนุมัติภายในเวลา 21 เดือน

ประเทศที่สองคือ จีน ขณะที่นายทรัมป์ต้องการจะเปลี่ยนระบบการขออนุมัติจากสภาคองเกรสมาอยู่ที่รัฐมนตรีมหาดไทย รัฐบาลของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กลับอนุมัติแผนโครงการเส้นแดงปกป้องระบบนิเวศ เพราะกลัวว่าการพัฒนาจะไปทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จีนออกกฎห้ามพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่รวม 6.1 แสนตารางกิโลเมตร ซึ่งใหญ่กว่าแผ่นดินไทยทั้งราชอาณาจักร เท่ากับร้อยละ 25 ของพื้นที่ทั้ง 15 มณฑลรวมกัน

เท่านี้ยังไม่พอครับ ฟังจากกระทรวงคุ้มครองสิ่งแวดล้อมจีน รัฐบาลจีนต้องการให้โครงการเส้นแดงปกป้องระบบนิเวศขยายออกไปมากถึงร้อยละ 25 ของ 33 มณฑล/เขตปกครองตนเอง/เทศบาลนครอีกด้วย

เดี๋ยวนี้รัฐบาลของนายสี จิ้นผิง ออกกฎเกี่ยวกับเรื่องคืนผืนป่าสู่แผ่นดินอย่างเข้มข้นเป็นระยะ แม้ว่าพื้นที่ที่อยู่ในเทศบาลขนาดใหญ่ก็ยังไม่เว้นที่อยู่ในโครงการเส้นแดงปกป้องระบบนิเวศ มีบางพื้นที่อยู่ในเทศบาลนครปักกิ่ง เทศบาลนครเทียนจิน หรือมณฑลที่อยู่ตามแนวสองฝั่งของแม่น้ำแยงซี ที่น่าสนใจคือ รัฐบาลของนายสีมีความเด็ดเดี่ยวในการห้ามพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ชุ่มน้ำ ป่า อุทยานแห่งชาติ และเขตคุ้มครองธรรมชาติ

ใครจะนึกเล่าครับว่า สหรัฐฯจะเลือกเดินทางสายทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยยึดเอาด้านเศรษฐกิจเป็นสรณะ ทรัมป์สนใจแต่การกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ การดูดเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในสหรัฐฯ

หลายคนอาจจะมองในแง่บวกว่าทรัมป์คิดนอกกรอบ แต่ผมอยากจะเรียนนะครับ ว่าเป็นการคิดนอกกรอบแบบถอยหลังลงคลอง แม้แต่โครงการค้นคว้าวิจัยทางด้านอวกาศซึ่งเป็นจุดเด่นที่เคยส่งเสริมภาพลักษณ์ให้สหรัฐฯว่า เป็นประเทศชั้นนำทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ทรัมป์บอกว่า ในยุคที่แกเป็นประธานาธิบดี การให้นักบินอวกาศชาวอเมริกันไปเหยียบผิวดวงจันทร์อีกครั้งไม่น่าจะเกิดขึ้น นอกจากนั้น ทรัมป์ยังมีความคิดที่จะให้เอกชนเข้ามารับผิดชอบโครงการอวกาศซึ่งเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศอีกด้วย.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย