เมื่อวันพฤหัสบดี 4 ม.ค. วันประกาศเอกราชเมียนมาจากอังกฤษครบรอบ 70 ปี ประธานาธิบดีทิน จ่อ ผู้นำพลเรือนของเมียนมา กล่าวสุนทรพจน์เรียกร้องปฏิรูปรัฐธรรมนูญ หวังสร้างความยุติธรรมแก่ประชาชนชาวเมียนมาทุกเผ่า พันธุ์ให้เข้ามาอยู่ในระบบแบบแผนเดียวกัน แต่ผู้นำเมียนมาไม่ได้เอ่ยถึงชนกลุ่มน้อยมุสลิมโรฮีนจาแม้แต่น้อย

สุนทรพจน์ของผู้นำพลเรือนเมียนมาแสดงท่าทีถึงความต้องการเปลี่ยนแปลงกฎหมายภายใต้อำนาจกองทัพ ซึ่งยังมีอิทธิพลเหนือการปกครองในเมียนมาตลอดช่วงเวลายาวนานเกือบ 50 ปี ขณะที่ความพยายามเสนอปรับแก้ไขรัฐธรรมนูญเมียนมาต้องเผชิญอุปสรรคตลอดมา โดยล่าสุดความเคลื่อนไหวเรื่องนี้ต้องชะงักภายหลังจากนายโก นี นักกฎหมายมุสลิม ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของนางอองซาน ซูจี ผู้นำโดยพฤตินัยของเมียนมา ถูกมือปืนยิงสังหารเมื่อเดือน ม.ค.ปีที่แล้ว แม้ทางการเมียนมาจับกุมมือปืนยิงนายโก นี ได้ในที่เกิดเหตุ แต่การสอบสวนมือปืนก็ยังอธิบายสาเหตุการสังหารอย่างชัดเจนไม่ได้

ทั้งนี้ เนื้อหาความต้องการปรับแก้รัฐธรรมนูญเมียนมาหลักๆ อาทิ การปรับแก้ไขเปิดทางให้นางอองซาน ซูจี ขึ้นครองอำนาจปกครองประเทศ เนื่องจากรัฐธรรมนูญห้ามผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมีคู่สมรส หรือบุตรที่เกิดกับชาวต่างชาติ การปรับแก้ไขควบคุมตำแหน่งสำคัญต่างๆในรัฐบาล ซึ่งกองทัพมีอำนาจครอบครองเก้าอี้ในรัฐบาลแล้ว 1 ใน 4 รวมถึงควบคุมตำแหน่ง รมว.กลาโหม รมว.มหาดไทยและ รมว.กิจการชายแดน

นอกจากนั้น ประธานาธิบทิน จ่อ ยังต้องการสร้างความปรอดดองกับกองกำลังชนกลุ่มน้อยหลายเผ่าพันธุ์ทั่วประเทศ ต้องการให้ปรับเพิ่มสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไป โดยล่าสุด ผู้สื่อข่าวสังกัดสำนักข่าวรอยเตอร์ 2 คน ถูกทางการจับกุมตัวตั้งแต่ 12 ธ.ค. จากข้อกล่าวหารายงานข่าวกองทัพเมียนมาปราบปรามชนกลุ่มน้อยโรฮีนจาอย่างรุนแรงตั้งแต่ช่วงเดือน ส.ค.ปีที่แล้ว ทำให้ชาวโรฮีนจาต้องอพยพข้ามพรมแดนไปบังกลาเทศมากกว่า 650,000 คน อย่างไรก็ตาม ความพยายามปรับแก้รัฐธรรมนูญเมียนมาถูกหลายฝ่ายมองว่ายากจะทำได้จริง.

...