ชาวบึงกาฬที่เป็นแฟนเปิดฟ้าส่องโลก ศุกร์วันนี้ทั้งวันพบกับ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิธณัฐ มิ่งรุจิราลัย ที่หอประชุมโรงเรียนอนุบาลวิศิษฐ์อำนวยศิลป์ อดีต ส.ว.บึงกาฬ ผอ.ณัฐพล เนื่องชมภู ประสานให้ไปบรรยายถึงการน้อมนำศาสตร์พระราชามาสู่การปฏิบัติในพื้นที่ รับใช้ผู้บริหารและคณะครู กศน. นักศึกษา และประชาชน 800 คน แล้วพบกันครับ
เดิมสกอตแลนด์กับอังกฤษต่างมีรัฐสภาของตนเอง ในสมัยพระเจ้าวิลเลียมที่ 3 (ค.ศ.1689-1702) อังกฤษต้องการมีไมตรีกับสเปน แต่พวกสกอตต้องการไปตั้งอาณานิคมที่ดาเรียน ใกล้คอคอดปานามาในทวีปอเมริกา สเปนทักท้วงหลายครั้ง แต่พวกสกอตไม่ฟัง เจ้าของที่ดินชาวสกอตที่ร่ำรวยเฮโลกันไปลงทุนในอาณานิคมที่ดาเรียน แต่อังกฤษไม่สนับสนุน โครงการจึงล้ม ชนชั้นนำชาวสกอตเสียเงินไปกับเรื่องตั้งอาณานิคมกันเยอะ
การรวมสกอตเข้ากับอังกฤษก็มาจากชนชั้นนำชาวสกอตพวกนี้นี่ล่ะครับ ที่กลัวว่าตัวเองจะถูกเล่นงานจากอังกฤษ จึงนำไปสู่การรวมเป็นสหราชอาณาจักร ระหว่างอังกฤษกับสกอตแลนด์ เริ่มจากการที่รัฐสภาของ 2 ราชอาณาจักรรับรองสนธิสัญญาการรวมสกอตแลนด์เข้ากับอังกฤษเมื่อ 22 กรกฎาคม 1706
ปีต่อมา รัฐสภาของทั้ง 2 แห่งต่างออกพระราชบัญญัติการรวมสกอตแลนด์เข้ากับอังกฤษ เพื่อตั้งประเทศใหม่ที่มีชื่อว่า สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ มีผลบังคับตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 1707 ในรัชสมัยสมเด็จพระราชินีนาถแอนน์
ใครที่ไม่ทราบประวัติศาสตร์ตรงนี้ ก็อาจจะเข้าใจผิดว่า อังกฤษยกทัพใหญ่ไปตีสกอตแลนด์แบบเดียวกับประเทศอื่นทำ สมัยนั้น อังกฤษ (นิกายแองกลิคัน) เป็นศัตรูกับฝรั่งเศส (นิกายโรมันคาทอลิก) ส่วนสกอตแลนด์ (นิกายเพรสไบทีเรียน) เป็นมิตรกับฝรั่งเศส ความขัดแย้งในสมัยนั้น ส่วนใหญ่มาจากนิกายทางศาสนาคริสต์ที่ต่างกัน คนสกอตแลนด์ในสมัยนั้นคิดว่า ตัวอยู่กับพวกแองกลิคันก็ยังดีกว่าไปอยู่กับพวกโรมันคาทอลิก
...
ที่คนสกอตเสียใจที่สุดจากการที่ต้องไปรวมอาณาจักรกับอังกฤษก็คือ ต้องยุติการมีรัฐสภาของตนเอง ผู้แทนชาวสกอต 45 คน ได้เข้าไปนั่งในสภาอังกฤษ ในสภาสามัญ และ 16 คนในสภาขุนนาง
ประเทศก็ไม่มี สภาก็หาย ยังโชคดีที่สกอตแลนด์ยังรักษาศาสนาคริสต์นิกายเพรสไบทีเรียนไว้ได้ อีกอย่างที่รักษาไว้ได้ก็คือ ระบบกฎหมาย ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษอื่นๆ จะใช้คณะลูกขุน 12 คน แต่สกอตแลนด์ยังใช้ 15 คน และกฎหมายอาญาของสกอตแลนด์ก็ยังคงรักษาการตัดสินแบบเดิมคือ ผิด ไม่ผิด และไม่ได้ถูกพิสูจน์ ไว้ได้
ที่สกอตแลนด์ยังรักษาไว้ได้อีกอย่างคือ ระบบการศึกษาที่แข็งแกร่ง สกอตแลนด์เป็นประเทศแรกที่จัดระบบการศึกษาทั่วไปและมีมหาวิทยาลัยเก่าแก่หลายแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูวส์ มหาวิทยาลัยกลาสโกว์ มหาวิทยาลัยอาเบอร์ดีน และมหาวิทยาลัยเอดินบะระ
การรวมสกอตแลนด์เข้ากับอังกฤษใน ค.ศ.1707 ทำให้สถานะประเทศของสกอตแลนด์สิ้นสุดลง แต่สิ่งที่ตามมาก็คือ การพัฒนาทางเศรษฐกิจ ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 สกอตแลนด์มั่งคั่งมาก นครกลาสโกว์รวยจากการค้าขายกับอาณานิคมอเมริกา สินค้าที่เด่นที่สุดคือ ยาสูบ ก่อนที่สหรัฐฯจะประกาศเอกราชใน ค.ศ.1776 กลาสโกว์เป็นเมืองท่าควบคุมการค้าและการส่งออกยาสูบของโลก
พอถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 กลาวโกว์ก็เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรม อย่างที่ผมเรียนไปเมื่อวาน เจมส์ วัตต์ ผู้คิดค้นหัวรถจักรไอน้ำก็เป็นชาวสกอต และมีผู้คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆจำนวนมาก สกอตแลนด์ดังในเรื่องการสร้างหัวรถจักรและการต่อเรือสินค้า
สมัยนางมาร์กาเร็ต แทตเชอร์ เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลอังกฤษเรียกเก็บภาษีรายหัวในสกอตแลนด์ก่อนแคว้นอื่นในสหราชอาณาจักร ทำให้คนสกอตรู้สึกว่า ไม่ได้รับความยุติธรรมและเรียกร้องให้สกอตแลนด์มีสิทธิดูแลกิจการภายในของตัวเองมากขึ้น เรื่องนี้ก็นำไปสู่การลงประชามติเรื่องการสถาปนารัฐบาลท้องถิ่นและรัฐสภาสกอตแลนด์ ซึ่งต่อมาสกอตแลนด์ได้ดูแลตัวเองด้านสาธารณสุข การศึกษา และการคมนาคมขนส่ง
แต่รัฐสภาเวสต์มินสเตอร์ของสหราชอาณาจักรยังไม่ยอมให้สกอตแลนด์ดูแลเรื่องภาษี การประกันสังคม การป้องกันประเทศ และการกระจายเสียง
ภายใน 2-5 ปีข้างหน้า เราก็คงจะได้เห็นคนสกอตออกมาลงประชามติแยกประเทศอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากนั้น โลกอาจจะมีประเทศใหม่ชื่อ สกอตแลนด์ ก็ได้ครับ.
นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com