ตั้งแต่เหตุการณ์ภัยพิบัตินิวเคลียร์ที่เกิดขึ้นที่เมืองเชอโนบิล ในประเทศรัสเซีย เมื่อปี พ.ศ.2529 นับว่าร้ายแรงที่สุดแล้ว ต่อมาก็เกิดภัยพิบัตินิวเคลียร์อีกครั้งในจังหวัดฟุกุชิมะไดอิชิที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี พ.ศ.2544 ซึ่งถือว่าเป็นความร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่เกิดที่เชอโนบิล โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ฟุกุชิมะล่มสลายจากการเกิดแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิ ทำให้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ได้รับความเสียหายและปลดปล่อยสารกัมมันตรังสีออกมาส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่และสิ่งแวดล้อมยาวนานนับ 10 กว่าปี
รัฐบาลญี่ปุ่นได้พยายามแก้ไขปัญหาตลอดมา หนึ่งในการสะสางปัญหาคือการให้ทุนวิจัยแก่สถาบันวิจัยนานาชาติด้านการบริหารจัดการนิวเคลียร์และหน่วยงานด้านพลังงานของบริษัทโตชิบา คอร์ปอเรชั่น พัฒนาอุปกรณ์สำรวจซากปรักหักพังของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ซึ่งขณะนี้เผยโฉมเครื่องมือออกมาแล้วว่าเป็นกล้องโทรทรรศน์ความยาว 13 เมตร ตัวกล้องสามารถส่ายไปมาทั้งแนวนอนและแนวดิ่ง ติดตั้งเครื่องวัดปริมาณสารกัมมันตรังสี และเทอร์โมมิเตอร์ ลักษณะคล้ายคันเบ็ดยักษ์มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 12 เซนติเมตร ยึดด้วยสายเคเบิลจากด้านหลังที่จะช่วยให้เจ้าหน้าที่ใช้การควบคุมระยะไกลได้มองเห็นลึกลงไปในท่อเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ที่ยังไม่ทราบความเสียหายอย่างแน่ชัด
นักวิจัยคาดว่า อุปกรณ์ดังกล่าวจะทำให้ค้นพบเศษซากพลังงานที่หลงเหลืออยู่ ซึ่งจะสามารถกำหนดแนวทางในการเก็บกู้รื้อถอนออกไปได้อย่างหมดสิ้นในอนาคต.