ท่านผู้อ่านที่เคารพ ปีนักษัตรระกาจากไปก้าวเข้าสู่ปีจอ พ.ศ.2561 แต่สถานการณ์โลกยังหอบความวุ่นวายพ่วงติดมาเช่นเคย เหตุจากตัว “มนุษย์” ผสมผสานกับกิเลสแห่งผลประโยชน์และอำนาจ ซึ่งเห็นตัวอย่างกันมาตั้งแต่อดีตกาลจวบจนถึงปัจจุบัน

จะผ่านไป 1 ปีเต็มแล้ว ในวันที่ 20 ม.ค. นี้ กับการก้าวขึ้นสู่อำนาจของ “โดนัลด์ ทรัมป์” นักธุรกิจปากร้าย ในคราบประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐอเมริกา ที่ดึงโลกเข้าสู่วังวนอลเวง ด้วยนโยบาย...อเมริกาต้องมาก่อน...แต่สภาพที่ปรากฏกลับไม่ต่างอะไรกับนักเลงโตท้าตีท้าต่อย ทำลายภาพลักษณ์ของ “ชาติตะวันตกผู้ชนะ” ที่กำหนดระเบียบโลกเรื่อยมาหลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 2

สี จิ้นผิง - โดนัล ทรัมป์
สี จิ้นผิง - โดนัล ทรัมป์

จากอเมริกา เฟิร์ส...กลายเป็นอเมริกา ไอโซเลต...หรืออเมริกาโดดเดี่ยวตัวเอง ไม่ว่าในประเด็นความร่วมมือประชาคมโลก ถอนตัวจากข้อตกลงปารีสสู้โลกร้อน โละทิ้งยุทธศาสตร์การค้าเอเชียแปซิฟิก (ทีพีพี) ไปจนถึงด้านความมั่นคง เตรียมรื้อข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน และการประกาศรับรองนครศาสนา “เยรูซาเลม” เป็นเมืองหลวงอิสราเอล ที่ถือเป็นการจุดชนวนความรุนแรงครั้งใหญ่ในโลกอาหรับ-มุสลิม และถูกนานาชาติประณาม

...

ทั้งหมดนี้จึงมีความเป็นไปได้สูง ที่ปี 2561 จะเป็นปีแห่งความ...สุ่มเสี่ยงสูง...สำหรับรัฐบาลสหรัฐฯ ด้วยเหตุที่ว่าใครๆเขาเริ่มไม่เอาด้วยแล้ว ทั้งจากท่าทีของพันธมิตรเก่า “ชาติยุโรป” ที่ต้องผนึกกำลังจัดการความวุ่นวายภายใน เรื่องปัญหาผู้อพยพจากแอฟริกา-ตะวันออกกลาง การเคลียร์เงื่อนไขสหราชอาณาจักรขอแยกตัวจากสหภาพยุโรป ปัญหาหนี้สินสมาชิกสหภาพยุโรป และปัญหาแยกตัวเป็นเอกราช

เจ้าชาย โมฮัมเหม็ด บิน ชัลมาน
เจ้าชาย โมฮัมเหม็ด บิน ชัลมาน
วลาดิเมียร์ ปูติน
วลาดิเมียร์ ปูติน

จวบจนการเมืองภายในสหรัฐฯเอง ที่ทรัมป์ไปขัดแย้งกับสำนักงานสืบสวนสอบสวนกลาง “เอฟบีไอ” สำนักงานข่าวกรองกลางแห่งชาติหรือ “ซีไอเอ” ซึ่งชี้ว่ารัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐฯ ทำให้ทรัมป์ชนะ และทีมงานของทรัมป์อาจสมรู้ร่วมคิดด้วย จนมีผู้หวั่นวิตกว่าทรัมป์จะไปไม่รอด หรือกระทั่งถึงขั้นอาจถูกลอบสังหาร

มีขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป...เมื่อเสาอำนาจโลกทางหนึ่งกำลังทรงและทรุด ก็ไม่แปลกที่จะมีเสาใหม่มาผงาดความโดดเด่นแทนที่...สาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้ร่มธงของ ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” กำลังอยู่ในห้วงเวลาขาขึ้น จากการกระชับอำนาจภายในเบ็ดเสร็จ นั่งแท่นบริหารต่อไปอีกอย่างน้อย 5 ปี นำแนวคิดสร้างชาติของตนเอง บรรจุในธรรมนูญพรรคคอมมิวนิสต์ เสมอชั้น ประธานผู้ก่อตั้งเหมา เจ๋อตง

ประกาศตั้งเป้า “จีน” เป็นมหาอำนาจเบอร์ 1 ของโลกภายในปี 2578 ชูระบบสังคมนิยมแบบมีเอกลักษณ์เฉพาะของจีน ที่การเมืองต้องนิ่ง เศรษฐกิจการค้านำหน้าเป็นต้นแบบให้ชาติอื่นๆ พร้อม...ฉวยจังหวะ...อเมริกาโดดเดี่ยวตัวเอง เริ่มเสริมสร้างอำนาจอิทธิพลทั่วโลก ผลักดันเส้นทางสายไหมยุคใหม่...วันเบลต์ วันโรด อี้ไต้ อี้ลู่...เชื่อมเส้นทางการค้าทั่วเอเชียจนถึงยุโรป

คิม จอง อึน
คิม จอง อึน

...

นอกจากนี้ ท่าทีจีนในฐานะลูกพี่ใหญ่ของ “เกาหลีเหนือ” มาช้านาน ทำให้โยงไปถึงประเด็นวิกฤตการณ์คาบสมุทรเกาหลีที่กำลังสร้างความตึงเครียดแก่โลก รัฐบาลเกาหลีเหนือเร่งพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธอย่างรวดเร็ว ภายใต้การคุมบังเหียนของผู้นำสูงสุด “คิมจอง–อึน” เดินหน้าชนกับไม้เบื่อไม้เมาสหรัฐฯ ที่มีทรัมป์เป็นผู้นำสายลองของ แลกน้ำลายข่มขู่ เอ่ยคำว่า “สงคราม” เป็นว่าเล่น

มีความเป็นไปได้ว่า ในปี 2561 นี้บทบาทจีนจะยิ่งทรงพลังขึ้น เพราะขณะที่สหรัฐฯมีพฤติกรรมกระหายสงครามเหมือนเด็กวัยคะนอง แต่จีนกลับมีความสุขุมนุ่มลึกเหมือนผู้ใหญ่ ยืนยันเรื่อยมาว่าต้องเคลียร์ผ่านโต๊ะเจรจา กลายเป็น “ตัวกลาง” ที่ทุกคนวิ่งเข้าหา เหมือนกำนันผู้ใหญ่บ้านที่ปรึกษาแห่งชุมชน

กระนั้นสถานการณ์ดังกล่าว ไม่ควรมองอย่างประมาท เพราะทางสหรัฐฯยังใช้กลไกของประชาคมโลกเข้ามาเป็นเครื่องมือ ไล่บี้เกาหลีเหนือด้วยมติคว่ำบาตรคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ ซึ่งถือเป็นการบังคับกลายๆให้ชาติอื่นต้องให้ความร่วมมือ อย่างเรื่องการปิดกั้นการค้ากับเกาหลีเหนือ บีบเกาหลีเหนือให้ถอยหลังเข้ามุม ทำให้เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า เกาหลีเหนือที่หันหลังให้ชาวโลกอยู่แล้ว...เมื่อถูกผลักเข้าตาจนแล้วจะกลายเป็นอะไร แม้แต่องค์กรรณรงค์กำจัดอาวุธนิวเคลียร์ระหว่างประเทศ (ICAN) ก็ออกโรงเตือนว่ามีโอกาสเกิดสงครามนิวเคลียร์ แค่ผู้นำอีโก้สูงอย่างทรัมป์และคิม จอง-อึน ขาดสติ ทั้งโลกจะหายนะ

...

มองข้ามแผนที่โลกตอนบน มาสู่โลกตอนล่าง...ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเรา จะเป็นเวทีสำคัญในการประลองอำนาจระหว่างจีน-สหรัฐฯ ต่อไปในปี 2561 ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่เสาอำนาจสมัยสงครามเย็นจะเปลี่ยนแปลง จีนจะกลายเป็นเจ้าใหม่ที่เข้ามาครองอิทธิพลแทนสหรัฐฯหากฝ่ายหลังยังคงชะล่าใจ จีนใช้ความ “เจ้าบุญทุ่ม” โปรยเงินซื้อประเทศต่างๆ ทั้งกัมพูชา ลาว ฟิลิปปินส์ ผ่านเมกะโปรเจ็คต์อาทิโครงการสร้างรถไฟ ถนนหนทาง เขื่อน และปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ

เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมส่งผลต่อความเป็นเอกภาพของ “อาเซียน” ด้วยเช่นกัน เพราะกลายเป็นว่ากลุ่มหนึ่งพร้อมที่จะผงกหัวรับออเดอร์ แลกกับผลประโยชน์ภายในชาติ ซึ่งแน่ชัดว่าประเด็นพิพาทหมู่เกาะทะเลจีนใต้ที่ยังคงดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง จะเกิดอาการเสียงแผ่ว ขณะที่จีนเองก็เล่นบทแยบคาย ค่อยๆสร้างฐานที่มั่นบนหมู่เกาะขัดแย้งไปอย่างเงียบๆ จนบรรลุเป้าประสงค์...ถึงเวลานั้นใครจะมาโวยวายอะไรคงสายเกินแก้

นอกจากนี้ กลุ่มชาติอาเซียนยังต้องเผชิญกับปัญหาผู้อพยพ “โรฮีนจา” อยู่ร่ำไป เพราะไม่ว่า “เมียนมา” จะรับปากให้สัญญาว่าจะแก้ไข คัดกรองรับกลับถิ่นฐานเช่นไร แต่รากเหง้าของเรื่องนี้ อยู่ที่ตัวรัฐบาลและกรอบความคิดฝังหัวคนเมียนมา ว่าโรฮีนจาไม่ใช่คนของตัวเอง แต่มาจากที่อื่น และโอกาสที่อาเซียนจะร่วมด้วยช่วยแก้ ก็เป็นไปมิได้เนื่องจากขัดหลักการ ว่าด้วยการไม่แทรกแซงกิจการภายในกันและกัน

...

สำหรับภูมิภาค “ตะวันออกกลาง” ในปี 2561 แน่นอนว่ายังหาความสงบไม่ได้ เพราะยังติดบ่วงสถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรง “ซาอุดีอาระเบีย” แย่งชิงอิทธิพลกับ “อิหร่าน” สองชาติมุสลิมต่างนิกาย ทำสงครามตัวแทนทั้งในเยเมน เลบานอน ซีเรีย กาตาร์ ซึ่งปัจจัยนี้มีแนวโน้มว่าการก้าวขึ้นสู่อำนาจของเจ้าชาย “โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน” มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ที่กระชับอำนาจภายในราชวงศ์ จ่อขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป จะยิ่งทำให้ทวีการเผชิญหน้าทั้งทางตรงและทางอ้อม ด้วยนโยบายอันแข็งกร้าวต่อศัตรูต่างนิกาย และซาอุฯเองกำลังยกความแข็งแกร่ง จากการปฏิรูปประเทศด้วยนโยบาย “วิสัยทัศน์ 30” เพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่น้ำมัน

ขณะที่อีกเสาอำนาจเก่า “รัสเซีย” แม้จะมิใช่เสือติดปีกมังกรผงาดอย่างจีน แต่อยู่ในช่วงก้าวทีละก้าวอย่างมั่นคง และประคองสถานการณ์การถูกคว่ำบาตรโดยชาติตะวันตกด้วยการหาตลาดใหม่ จับมือภูมิภาคเอเชียมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่จะโดดเด่นที่สุดในปีนี้คือด้านความมั่นคง จากการตัดสินใจของประธานาธิบดี “วลาดิเมียร์ ปูติน” เข้าแทรกแซงสถานการณ์ “สงครามกลางเมืองซีเรีย” แสดงให้โลกเห็นว่า การเอาประชาธิปไตยไปยัดเยียดให้ผู้ที่ไม่พร้อมคือความคิดที่ผิด ร่วมกอดคอประธานาธิบดีเผด็จการซีเรีย บาชาร์ อัล อัสซาด จนเริ่มเห็นจุดเปลี่ยน โดยเรื่องที่ควรติดตามคือ การเข้า “ปักหมุด” ของรัสเซีย ใช้ซีเรียเป็นฐานบัญชาการสร้างอิทธิพลในตะวันออกกลางสืบไป

ส่วนภัยก่อการร้ายยังเป็นภัยคุกคามโลกต่อ แม้กองกำลังรัฐอิสลามหรือ “ไอเอส” จะพบความปราชัยในอิรัก-ซีเรีย แต่แตกกระจายไปกบดานในทะเลทรายตามพรมแดน และแทรกซึมเข้าสู่ประเทศอื่นๆ เช่นลิเบีย เยเมน อัฟกานิสถาน แอฟริกาเหนือ จนถึงขยายสาขามาในภูมิภาคเอเชีย อีกทั้งอาจหันไปใช้วิธีโจมตีแบบกองโจร ก่อการร้าย ระเบิดพลีชีพ ส่วนนักรบไอเอสชาวต่างชาติที่เล็ดลอดกลับประเทศ และพวกแนวร่วม-สาขา อาจใช้วิธีการใหม่ๆ โจมตีเป้าหมายที่โจมตีได้ง่ายมากขึ้นทั่วโลกเพื่อแสดงให้เห็นว่าไอเอสยังอยู่ ส่วนกลุ่มก่อการร้ายสากล “อัล เคดา” ยังมีพิษสงและฟื้นตัวแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

ที่สำคัญการจะไปลบล้าง “การขายแนวคิดและอุดมการณ์” ของกลุ่มหัวรุนแรงที่บิดเบือนหลักศาสนา ถือเป็นเรื่องยากยิ่ง ภาครัฐทั่วโลกจะต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อทำลาย “ความไม่รู้จริง” ของประชาชนที่อยู่ในกลุ่มสุ่มเสี่ยงถูกชักจูง มิฉะนั้นแล้วทุกอย่างก็จะซ้ำรอยเดิม เหมือนช่วงหลายปีที่ผ่านมา การโจมตีในรูปแบบ...โลน วูลฟ์ หมาป่าเดียวดาย...รับความเป็นไอเอสมาลงมือก่อเหตุด้วยตัวเอง ซึ่งยากที่ทางการจะตรวจพบ โดยเฉพาะการใช้ “รถยนต์” เป็นอาวุธมรณะ แทนการจัดซื้อปืนกลและประกอบวัตถุระเบิด

ประการสำคัญสุดท้ายที่น่าวิตกกังวลไม่เฉพาะปี 2561 แต่รวมถึงปีถัดๆไปในอนาคต คือมหันตภัยธรรมชาติ ซึ่งเริ่มเห็นชัดว่าเกิดจาก “ภาวะโลกร้อน” ขั้วโลกเหนืออุ่นขึ้นจนน้ำแข็งละลายกลายเป็น “ภาวะปกติใหม่” (นิว นอร์มอล) ไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิม ขณะที่สมาคมธรณีวิทยาอเมริกัน เผยแพร่รายงานการวิเคราะห์วิจัยจาก 18 ประเทศทั่วโลก


ชี้ชัดเป็นครั้งแรกว่าเหตุสภาพอากาศแปรปรวนรุนแรง ทั้งน้ำท่วม ภัยแล้งฉับพลัน คลื่นความร้อน เกิดจาก “ภาวะโลกร้อนเป็นตัวต้นเหตุหลัก ไม่ใช่เป็นตัวแปรหนึ่งของปัญหา” ดังที่ระบุในงานวิจัยชิ้นก่อนๆ

ถือเป็นภัยระดับโลกอันน่าสะพรึงกลัว เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นกับบ้านเพียงหลังเดียวของมวลมนุษยชาติ แต่อนิจจาผู้พักอาศัยยังคงทะเลาะเบาะแว้งกัน โดยหารู้ไม่ว่าหากบ้านพังทลายเมื่อไร ก็พินาศสิ้นกันถ้วนหน้า.

ทีมข่าวต่างประเทศ