สถานการณ์ทางการเมืองในสาธารณรัฐซิมบับเว ประเทศทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา และอยู่ติดกับประเทศแอฟริกาใต้...มาถึงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ และเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่พลิกผันชีวิตของประธานาธิบดีโรเบิร์ต มูกาเบ ผู้นำที่กุมอำนาจบริหารประเทศมานานเกือบ 40 ปี ไปแบบฉับพลัน

เสียงปืนและเสียงระเบิดที่ดังกึกก้องในกรุงฮาราเร เมืองหลวง ตลอดคืนวันอังคารที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา ก่อนเช้ารุ่งขึ้น กองทัพซิมบับเวได้ส่งกำลังทหารพร้อมรถถังและยานหุ้มเกราะออกมาปิดถนนบริเวณสถานที่สำคัญๆ ทั้งทำเนียบประธานาธิบดี รัฐสภา และศาล รวมทั้ง ยึดสถานีโทรทัศน์แห่งชาติในกรุงฮาราเร จนถือเป็นความเคลื่อนไหวในการยึดอำนาจ ประธานาธิบดีมูกาเบ วัย 93 ปี อย่างครบสูตร พร้อมกับควบคุมตัวผู้นำวัยชราไว้ในบ้านพัก

แน่นอนคำถามที่เกิดขึ้นก็คือ โรเบิร์ต มูกาเบ ผู้เคยเป็นฮีโร่ เป็นวีรบุรุษปลดแอกประเทศ และความเป็นไทของคนผิวสีที่ต้องตกอยู่ใต้อำนาจของคนผิวขาวในชาติได้สำเร็จ กระทั่งก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี และประธานาธิบดีแห่งซิมบับเว ยาวนานรวมแล้วถึง 37 ปี ทำไมจึงมาพบกับชะตากรรม..ร่วงหล่นจากอำนาจไปอย่างชอกช้ำเยี่ยงนี้ ?

...

* ย้อนประวัติ มูกาเบ ผู้นำ 4 ทศวรรษแห่งซิมบับเว

สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า โรเบิร์ต มูกาเบ เกิดเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2467 เป็นบุตรชายช่างไม้ในเมืองคูตามา แต่โชคดีได้ร่ำเรียนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยแห่งฟอร์ต ฮาเร (University of Fort Hare)ในประเทศแอฟริกาใต้ และได้สอนหนังสืออยู่ในประเทศกานาสักระยะหนึ่ง โดยมูกาเบ มีความสนใจเรื่องการเมือง ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างคนผิวขาวผู้ปกครองประเทศกับประชาชนอย่างมาก

เมื่อกลับมาบ้านเกิดในปี 2503 มูกาเบได้ช่วยก่อตั้งพรรคซิมบับเว แอฟริกัน เนชันแนล ยูเนียน (ซานู) ซึ่งแยกตัวมาจากพรรคเดิม ทว่าในอีก 4 ปีต่อมา เขาถูกจับในข้อหาพูดจาปลุกปั่นในที่สาธารณะ และถูกจำคุกนานถึง 10 ปี เมื่อถูกปล่อยตัวจากเรือนจำเป็นอิสระ เป็นช่วงขณะที่เวลานั้นเกิดสงครามกลางเมือง กลุ่มคนผิวดำ ประชาชนส่วนใหญ่ของซิมบับเวลุกฮือต่อต้านรัฐบาลคนขาว โดยมูกาเบได้เข้าร่วมกับแนวหน้าคนรักชาติแห่งซิมบับเวที่ต่อต้านรัฐบาล กระทั่งมีการเจรจาไกล่เกลี่ยยุติการสู้รบกันที่กรุงลอนดอน จนนำไปสู่การเลือกตั้งในปี 2523

* คว้าชัยเลือกตั้งครั้งแรกอย่างถล่มทลาย

การเลือกตั้งครั้งแรกในซิมบับเว หลังจากได้รับเอกราชจากอังกฤษ ในปี 2523 มูกาเบ นำพรรคซานู-พีเอฟ คว้าชัยเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย จนทำให้เขากลายเป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ปีนั้น กระทั่งได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีผู้มีอำนาจเต็มคนแรกของประเทศในปี 2530 และดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมาจนถึงปัจจุบัน กระทั่งโดนยึดอำนาจ

*เจ้าของวลีเด็ด ‘มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่จะทำให้เขาพ้นจากตำแหน่ง’

ก่อนที่จะถึงการเลือกตั้งเมื่อปี 2551 มูกาเบ เคยกล่าวไว้ว่า ‘ถ้าคุณแพ้การเลือกตั้งและถูกปฏิเสธโดยประชาชน คงถึงเวลาที่คุณควรออกไปจากการเมืองได้แล้ว’ ทว่าจากการผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบแรก มูกาเบ กลับได้คะแนนเป็นที่ 2 ตามหลังนายมอร์แกน ทะสะแวนกิไร จึงทำให้เขาพยายามโจมตีคู่แข่งทางการเมืองมากขึ้น และสาบานว่า ‘มีแต่พระเจ้าเท่านั้น ที่สามารถทำให้เขาพ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดีไปได้

ท่ามกลางการหาเสียงโจมตีนายทะสะแวนกิไรอย่างดุเดือด และเพื่อความมั่นใจว่าต้องชนะเลือกตั้งรักษาอำนาจต่อไป จึงทำให้เกิดเหตุรุนแรงกับเหล่าผู้สนับสนุนคู่แข่งทางการเมืองรายนี้ของเขา จนทำให้นายทะสะแวนกิไรตัดสินใจขอถอนตัวจากลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีรอบ 2 เพื่อปกป้องคนที่สนับสนุนเขา

...


*เศรษฐกิจซิมบับเวพังสลาย

ตามรายงานของบีบีซี ระบุว่า นับตั้งแต่มูกาเบ ชนะเลือกตั้งและได้เป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2523 เขาหวังจะนำพาประเทศไปสู่การเป็นประชาธิปไตยภายใต้ระบอบรัฐสภา จึงได้พยายามยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนผิวดำ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มค่าจ้าง และการให้มีโอกาสเข้าถึงบริการสาธารณะต่างๆ ไปจนถึงการแจกจ่ายอาหาร

แต่ปัญหาเกิดขึ้นตามมาทันทีที่เขาปลดผู้นำชนกลุ่มน้อยออกจากรัฐบาล ก็คือ นำไปสู่การปะทะกันระหว่างชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆ ส่งผลให้เศรษฐกิจของซิมบับเวทรุดลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่คนผิวขาวซึ่งเป็นกำลังหลักของเศรษฐกิจประเทศต่างพากันอพยพออกจากซิมบับเว เพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย

ทว่ายิ่งนับวันเศรษฐกิจของซิมบับเว มีแต่ตกต่ำลง ย่ำแย่เลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ จากการบริหารประเทศที่ล้มเหลวและการคอร์รัปชันของรัฐบาลมูกาเบ ส่งผลให้เงินเฟ้อสูงลิบลิ่ว และพอหลังจากชนะเลือกตั้งในปี 2545 ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและการโกง จนมูกาเบได้เป็นประธานาธิบดีอีกสมัย เขาได้ให้สภาออกกฎหมายยึดไร่และทรัพย์สินของคนผิวขาวกว่า 4,000 คน ในขณะที่รัฐบาลเองก็ไม่มีความรู้ในการผลิตสินค้าเกษตรแทนคนขาว ส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรลดน้อยลงอย่างมาก ชนิดจากประเทศที่เดิมเคยเป็นผู้ส่งออกข้าวโพด กลับกลายเป็นผู้นำเข้าแทน

...

*ความนิยมเริ่มลดลง แต่ยิ่งใช้ความรุนแรงมากขึ้น

เหมือนกับเป็นสมการผกผัน เพราะในขณะที่ความนิยมของมูกาเบลดลง เขากลับยิ่งใช้ความรุนแรงปราบปรามฝ่ายตรงข้ามมากขึ้น ไปจนถึงการควบคุมเสรีภาพของสื่อ คุกคามนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม จนทำให้เศรษฐกิจของซิมบับเวยิ่งพังพินาศ อัตราเงินเฟ้อในซิมบับเว ตามข้อมูลของนิตยสารฟอร์บส์ รายงานเมื่อปี 2551 ระบุเงินเฟ้อของซิมบับเวแตะระดับ 89.7 หมื่นล้านล้านเปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จนธนาคารต้องออกธนบัตรใบละ 1 แสนดอลลาร์มาใช้ในเดือนพ.ย.2551

โรเบิร์ต มูกาเบ หอมแก้มภรรยา เกรซ มูกาเบ
โรเบิร์ต มูกาเบ หอมแก้มภรรยา เกรซ มูกาเบ

*จุดจบทางการเมือง ดันภรรยาสืบทอดอำนาจ

การยึดติดอำนาจทำให้มูกาเบ ยังคงลงสมัครเลือกตั้ง และได้รับเลือกเข้ามาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง ขณะที่ตอนนั้น เขาอายุ 89 ปี เข้าไปแล้ว แต่พอหลังจากสังขารเริ่มร่วงโรยด้วยวัยชรา มูกาเบ กลับส่งมอบอำนาจต่อให้แก่นางเกรซ มูกาเบ ภรรยาคนที่สองที่เขาแต่งงานด้วยเมื่อปี 2540 และนำมาสู่จุดจบทางการเมืองของเขา โดยเฉพาะอย่างย่ิง หลังจากปลดนายเอ็มเมอร์สัน มนันกากวา พ้นจากตำแหน่งรองประธานาธิบดีอย่างกะทันหัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อดันภรรยาตัวเองรับตำแหน่งนี้แทน ในขณะที่มูกาเบก็น่าจะรู้ดีว่า นายมนันกากวา มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับกองทัพ

...

นายเอ็มเมอร์สัน มนันกากวา ถูกปลดพ้นตำแหน่งรองประธานาธิบดี
นายเอ็มเมอร์สัน มนันกากวา ถูกปลดพ้นตำแหน่งรองประธานาธิบดี

*ในที่สุด..กองทัพเข้ายึดอำนาจ 

และแล้ว การประลองกำลังครั้งนี้ของมูกาเบ กับนายมนันกากวา ซึ่งแน่นแฟ้นกับกองทัพ ได้นำมาสู่จุดจบทางการเมืองของผู้นำชรา เมื่อในที่สุด โดนกองทัพเข้ายึดอำนาจ เมื่อ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยยกเหตุผลว่า ‘เรามีเหตุผลเดียวก็คือการกำจัดเหล่าอาชญากรที่อยู่รายล้อมรอบตัวมูกาเบที่ทำให้เกิดปัญหาทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

เวลานี้ โลกกำลังจับตาด้วยความระทึกกันต่อ...ก็คือ ชะตากรรมของโรเบิร์ต มูกาเบ และนางเกรซ มูกาเบ จะเป็นเช่นไรต่อไป!!

โรเบิร์ต มูกาเบ ในวัยชรา
โรเบิร์ต มูกาเบ ในวัยชรา