12 หัวเมืองใหญ่ ทั้ง 1. กรุงลอนดอน ของ อังกฤษ 2. กรุงปารีส ของฝรั่งเศส 3. เมืองซีแอตเติล ของรัฐวอชิงตัน กับ 4.นครแอลเอ รัฐแคลิฟอร์เนีย ของ’เมกา 5. กรุงโคเปนเฮเกน ของเดนมาร์ก 6.นครบาร์เซโลนา ของสเปน 7.กรุงกีโต ของเอกวาดอร์ 8.เมืองแวนคูเวอร์ รัฐบริติช โคลอมเบีย ของแคนาดา 9.กรุงเม็กซิโก ซิตี้ ของเม็กซิโก 10.นครมิลาน ของอิตาลี 11. กรุงเคป ทาวน์ ของแอฟริกาใต้ และ 12.โอ๊กแลนด์ ของนิวซีแลนด์

รวมๆประชากรแล้วเกือบ 80 ล้านคน ตั้งสัตย์วาจาที่เรียกว่า

“ปฏิญญาถนนปลอดเผาผลาญพลังงานน้ำมัน”

ขั้นแรกคือ นับจากปี พ.ศ. 2568 จะใช้แต่รถบัสที่ไม่ปล่อยควันไอเสียเท่านั้น และอีก 13 ปีข้างหน้าจะให้พื้นที่สำคัญๆไร้ควันจากท่อไอเสียให้ได้ แปลได้ว่า สร้างสวนเพิ่ม เสริมทางเท้า ถนนให้เฉพาะรถไฟฟ้า+ส่งเสริม ขี่จักรยาน และใช้ขนส่งมวลชนเยอะๆ

สร้างเมืองจาก “น่ายี้” เป็น “น่าอยู่” นั่นเอง

เพราะมีงานวิจัยจากเหล่าผู้ทรงคุณวุฒิแล้วว่า มลภาวะเป็นพิษทางอากาศที่เกิดจากรถยนต์ใช้น้ำมันดีเซล เบนซิน เป็นตัวการหลักที่คร่าชีวิตชาวโลกมากที่สุด ยิ่งกว่าสงคราม เหตุรุนแรง อุบัติเหตุ สูบบุหรี่ โรคเอดส์

ส่วน สิงคโปร์ ที่แม้ไม่ได้มีเอี่ยวอะไรกับปฏิญญาข้างบน แต่นโยบายก็เร็ว & แรง ...และการที่เป็นประเทศติดอันดับค่าจอดรถแพงสุดๆในโลก ด้วยประชากรที่เพิ่มขึ้นจากพ.ศ.2543 เกือบ 40% เป็นราวๆ 5.6 ล้านคนเนี่ย คนก็ใช้ทั้งรถส่วนตัวและรถให้เช่า (รถร่วมบริการ ประเภท Grab และ Uber) รวมๆ กว่า 600,000 คน

ทั้งที่ราคาแพงกว่าที่ขายใน’เมกา ถึง 4 เท่า

ก็เลยไปเบียดเบียนพื้นที่ถนน กรมขนส่งทางบกสิงคโปร์ LTA จึงป่าวประกาศ ใครมีรถส่วนตัวจะต้องมีใบรับรองพิเศษจากรัฐ ซึ่งต้องเสียตังค์ อายุ 10 ปี และจำนวนจำกัด

...

ล่าสุดยังประกาศให้สัดส่วนรถนั่งส่วนบุคคลเหลือแค่ 0%!!!

ที่จีนก็ใช่ย่อย ชาวบ้านเริ่มมาแห่ใช้รถบรรทุกเติมแก๊ส LNG มากขึ้น เพราะรัฐบาลหนุนและกำหนดเชิงบังคับให้ตามโรงงานใหญ่ๆเลิกใช้รถเติมน้ำมันด้วย...

ฤทัยรัช จันทร์เพ็ญ