นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเขม่า หรือที่เรียกว่าคาร์บอนสีดำนั้น มีบทบาท สำคัญในการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เนื่องจากมันสามารถดักความร้อนทว่านักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถที่จะวิจัยศึกษาได้ เพราะเขม่าไม่ได้อยู่ในชั้นบรรยากาศนานนัก ซึ่งในยุคอุตสาหกรรมเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้วไม่มีทางที่จะอธิบายลักษณะของอนุภาคในอากาศเหล่านี้ได้เลย
คาร์บอนสีดำในอากาศเป็นผลจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ที่ไม่มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะถ่านหิน แต่เมื่อไม่นานมานี้นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ในสหรัฐอเมริกา เผยว่า ซากนกตายเก่าๆ ที่มี ฝุ่นสกปรกติดอยู่อาจช่วยไขความกระจ่างเกี่ยวกับอนุภาคที่เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน โดยได้ตรวจสอบซากนกเก่าๆ ที่เก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ในเมืองชิคาโก ดีทรอยต์และพิตต์สเบิร์ก จำนวน 1,347 ตัว มาเปรียบเทียบนกช่วงปี พ.ศ.2443-2453 พบว่าสีของขนนกมีความแตกต่างกัน โดยขนนกในช่วงปี 2443 นั้นมีสีดำกว่านกในอีก 20-30 ปีต่อมา ซึ่งคาดว่าชั้นบรรยากาศในช่วงเวลานั้นมีเขม่ามาก กว่าที่นักวิทยาศาสตร์เคยคิดไว้
การวิจัยดังกล่าวสร้างความน่าสนใจต่อผู้เชี่ยวชาญทางด้านสภาพอากาศที่พยายามคาดการณ์ความร้อนในอนาคตอันเกิดจากคาร์บอนสีดำ ขณะที่นักวิทยาศาสตร์บางส่วนเห็นว่าการลดการปล่อยคาร์บอนสีดำอาจจะเป็นหนทางที่ง่ายกว่าในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้วยวิธีลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์.