ไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนียยังคงลุกลามอย่างควบคุมไม่อยู่ในวันอังคาร ล่าสุดเผาผลาญพื้นที่ไปแล้วกว่า 2.9 แสนไร่ ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 15 คนแล้ว...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เหตุเพลิงไหม้ในพื้นที่ทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย ทางตะวันตกของสหรัฐฯ ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 8 ตุลาคม ตามเวลาท้องถิ่น ทวีความรุนแรงจนควบคุมไม่อยู่ในวันอังคาร โดยลุกลามกินพื้นที่กว่า 115,000 เอเคอร์ (ราว 2.9 แสนไร่) ทำลายหรือสร้างความเสียหายแก่อาคารบ้านเรือนไปแล้วกว่า 2,500 หลัง คร่าชีวิตผู้คนไปแล้ว 15 ราย และมีผู้สูญหายอีกเป็นจำนวนมาก

ภาพชุมชนแห่งหนึ่งในเมืองซานตา โรซา ก่อนและหลังถูกไฟป่าเล่นงาน
ภาพชุมชนแห่งหนึ่งในเมืองซานตา โรซา ก่อนและหลังถูกไฟป่าเล่นงาน

พื้นที่ที่เกิดไฟป่าหนักที่สุดคือที่ นาปา เคาน์ตี และ โซโนมา เคาน์ตี ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการผลิตไวน์ ถูกไฟไหม้พื้นที่รวมกันกว่า 52,000 เอเคอร์ โดยไฟลุกลามอย่างรวดเร็วเนื่องจากกระแสลมซึ่งมีความเร็วถึง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้หลายเมือง เช่น ซานตา โรซา, นาปา และคาลิสโตกา เสี่ยงถูกไฟป่าเล่นงาน แม้กระแสลมจะเบาบางลงในวันอังคาร แต่พยากรณ์อากาศเตือนว่าลมจะเริ่มพัดแรงอีกในช่วงปลายสัปดาห์นี้

...

โรงแรม ฮิลตัน โซโนมา ไวน์ คันทรี ในเมืองซานตา โรซา ถูกไฟไหม้
โรงแรม ฮิลตัน โซโนมา ไวน์ คันทรี ในเมืองซานตา โรซา ถูกไฟไหม้

ด้านสำนักงานป้องกันป่าไม้และไฟป่ารัฐแคลิฟอร์เนีย (คาลไฟร์) ระบุว่า ในวันอังคารมีไฟป่าขนาดใหญ่เผาไหม้ 17 จุด กินพื้นที่รวมกว่า 115,000 เอเคอร์ โดยเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถควบคุมไฟป่าที่ นาปา เคาน์ตี และ โซโนมา เคาน์ตี ได้แม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว ขณะที่จำนวนผู้ที่ต้องอพยพหนีไฟป่าเพิ่มขึ้นอีกหลายหมื่นคน โดยในโซโนมา เคาน์ตี แห่งเดียวก็มีผู้ต้องอพยพถึง 25,000 คนแล้ว ส่วนสำนักงานนายอำเภอเขต โซโนมา เคาน์ตี ระบุบนเฟซบุ๊กของพวกเขาว่า ได้รับรายงานผู้สูญหายถึง 240 คน

ควันจากไฟป่าปกคลุมเหนือหุบเขาโซโนมา
ควันจากไฟป่าปกคลุมเหนือหุบเขาโซโนมา

ขณะที่ นายเจอร์รี บราวน์ ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียระบุว่า ความเสียหายที่เกิดจากไฟป่าครั้งนี้มากมายเกินปกติ ประชาชนหลายพันคนต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน ส่วนนายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศในวันอังคารว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้อนุมัติคำสั่งภัยพิบัติครั้งใหญ่ เพื่อให้สำนักงานจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินกลาง (ฟีมา) สามารถเคลื่อนย้ายอุปกรณ์และทรัพยากรไปช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น.

ที่มา: nytimes, channelnewsasia, theguardian