ผบ.ตร.ไม่กังวลการล่าตัวผู้ก่อเหตุระเบิดที่ห้างบิ๊กซีปัตตานีมาดำเนินคดี ยอมรับการข่าวยังล่าช้า แจ้งเตือนก่อนเกิดเหตุเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น พร้อมฝากเตือนผู้ประกอบการ 3 จังหวัดชายแดนใต้ให้ระวังรูปแบบการก่อเหตุใหม่ ส่วนกรณีหนุ่มไม่มีบัตรเข้ารับเพื่อนในสนามบินพร้อมเฟซบุ๊กไลฟ์ ต้องตรวจสอบ ยันทุกพื้นที่มีเจ้าหน้าที่รับผิดชอบ...

เมื่อเวลา 10.30 น. ที่ห้องแถลงข่าว ตร.อาคาร 1 ชั้น 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงเหตุระเบิดบริเวณหน้าห้างบิ๊กซี จังหวัดปัตตานีเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา ว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนหาผู้กระทำความผิด ซึ่งก่อนเกิดเหตุในครั้งนี้ได้มีข้อมูลทางการข่าวแจ้งเตือนก่อนเกิดเหตุเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น จึงยังไม่น่าพอใจเท่าที่ควร เนื่องจากยังคงมีความล่าช้า จึงทำให้ไม่สามารถระงับเหตุได้ทันเวลา หากจะให้น่าพึงพอใจต้อง ไม่มีเหตุความรุนแรงเกิดขึ้น และยังได้ฝากเตือนผู้ประกอบการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ระมัดระวังการสร้างสถานการณ์ในรูปแบบที่เปลี่ยนไป โดยจะมีการหลอกให้ผู้ประกอบการไปซ่อมอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้านแล้วปล้นทรัพย์

โดยล่าสุดมีรายงานว่า ตำรวจได้ขออนุมัติหมายจับนายมะกอเซ็ง หม้าแอ้ อายุ 25 ปี ตามหลักฐานจากภาพวงจรปิดแล้ว เบื้องต้นคาดว่าผู้ก่อเหตุมีความเชื่อมโยงกับนายอับดุลรอเช๊ะ สาแม ผู้ต้องหาตามหมายจับคดีระเบิดคาร์บอมบ์ร้านอาหาร เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2559 และนายฮาริม ดอเลาะ ผู้ต้องหาในคดีระเบิดคาร์บอมบ์โรงแรมเซาท์เทิร์นวิว เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2559 เนื่องจากชิ้นส่วนระเบิดใช้มีลักษณะคล้ายกับเหตุระเบิดที่โรงแรมเซาท์เทิร์นวิว คือเป็นระเบิดแสวงเครื่อง บรรจุในถังแก๊ส 2 ลูก น้ำหนักเกือบ 100 กิโลกรัม เชื่อมต่อวงจรเรียบร้อยแล้ว ก่อนนำมาวางไว้ในรถ

...

สำหรับนายมะกอเซ็ง ยังเป็นผู้ต้องหาในคดีความมั่นคง โดยเมื่อปีที่ผ่านมาวางระเบิดเรือประมง 2 จุด และยังมีหมายจับศาลจังหวัดปัตตานีอีก 3 หมาย ในคดีร่วมกันพยายามฆ่าและก่อการร้าย วันที่ 2 มกราคม 2560 คดีวางระเบิดหน้าร้านขายก๋วยเตี๋ยวเบิ้ม วันที่ 7 มกราคม 2560 และคดีระเบิดตรงข้ามมัสยิดกลางปัตตานี วันที่ 3 กรกฎาคม 2559

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบมีผู้ก่อเหตุประมาณ 4 คน โดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยัน ไม่กังวลในการสืบสวนหาผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดี

นอกจากนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยกรณี เพจเฟซบุ๊กดัง ได้เปิดเผยเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่ยืมบัตรของข้าราชการตำรวจ สังกัดกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว เข้าไปถึงประตูเทียบเครื่องบินหมายเลข F5 ของผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค. ที่ผ่านมา พร้อมกับเฟซบุ๊กไลฟ์บอกว่าจะมารับเพื่อน โดยที่เจ้าตัวไม่มีตั๋วเครื่องบินหรือบัตรผ่านอนุญาต ซึ่งทำให้ชาวเน็ตตั้งคำถามเกี่ยวกับระบบความปลอดภัยของสนามบินที่ไม่ได้มาตรฐาน คนนอกสามารถเข้ามาในพื้นที่หวงห้ามได้ ว่า กรณีนี้ต้องดูว่าจุดผ่านดังกล่าวใครเป็นผู้ตรวจสอบ เพราะเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง มีหน้าที่ดูแลแค่ในส่วนของการเข้าออกประเทศเท่านั้น ส่วนเรื่องของการตรวจสอบคนเข้าออกไปถึงด่านด้านในเป็นเรื่องของการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทุกพื้นที่มีการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบอยู่แล้ว หากตำรวจทำไม่ดีการท่าอากาศยานก็จะรายงานเข้ามาเอง ส่วนใครจะเอาบัตรอะไรไปใช้เข้าออกตนไม่ทราบ.